แพทย์ตือนอุทาหรณ์!!ของผู้ปกครอง หลังมีเด็ก 8 เดือนกลืนเศษแก้วลงท้อง หวิดลำไส้ทะลุ

สุขภาพ-สื่อข่าวต่างประเทศรายงาน เด็ก8เดือนกลืนเศษแก้ว ลงท้องสำลักก่อนสลบไป หมอชี้ดีที่ลำไส้ทะลุ พร้อมออกมาเตือนผู้ปกครองให้ระวังและดูแลลูกหลานระวังเกิดเหตุอันตรายแบบนี้ เพราะโชคไม่ได้เข้าข้าวเด็กทุกคนเสมอแถมยังมีค่าใช้จ่ายมีสูงถึงสูงมากในการรักษา

เด็ก8เดือนกลืนเศษแก้ว ลงท้องสำลักก่อนสลบไป หมอชี้ดีที่ลำไส้ทะลุ เตือนผู้ปกครองให้ระวังและดูแลลูกหลาน

บอกเลยวันนี้บ้านไหนที่มีเด็กหรือมีทารกรกนั้นต้องดูเรื่องราวที่เรานำมาให้ดูในวันนี้ ที่เป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้ปกครองหลายๆคนได้ เพราะมีเด็กชายวัย 8 เดือนนั้นได้รับอันตรายจากการกลืนเศษแก้วลงไปในท้อง ซึ่งหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเวียนนาม

หมอจากที่ children’s hospitalในจังหวัด Dong Nai ประเทศเวียดนาม เผยแพร่เหตุการณ์ที่ต้องส่องกล้องเอาเศษแก้วสุดน่ากลัว ออกจากภายในร่างกายของเด็กชายวัยแปดเดือน จากการรายรายของสื่อต่างประเทศนั้นเปิดเผยว่า รองหัวหน้าแผนกระบบทางเดินอาหารบอกว่าคนไข้นั้นได้เข้ามารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินในช่วงค่ำของวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา

จากการสอบถามญาติของคนไข้นั้นได้ความว่า คนไข้ที่เป็นเด็กทารกนั้นได้กลืนสิ่งแปลกปลอมลงไปในท้อง ก่อนที่เด็กนั้นจะสำลักออกมาแล้วก็หหมดสิติลงไป ผลการเอกซเรย์ของคนไข้นั้นพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่มีความยาวประมาณ 2 ซม. อยู่ในท้องของคนไข้ทมารกคนนี้

และในช่วงดึกของวันนั้นคุณหมอได้ทำการส่องกล้องดูอีกครั้งก่อนจะพบว่า สิ่งแปลกปลอมที่พบนั้นคือ “เศษแก้ว” สามเหลี่ยมที่มีความแหลมคมมาก และมันก็ได้ทิ่มแทงเยื่อบุกระเพาะอาหารจนมีเลือดออก จากนั้นคุณหมอก็ได้ใช้เครื่องมือเอาชิ้นส่วนแก้วออกจากร่างกายของคนไข้ผ่านทางปากได้สำเร็จ

รองหัวหน้าแผนกระบบทางเดินอาหารของโรงพยาบาลแห่งนี้บอกว่า ที่เป็นคนไข้รายแรกที่กลืนเศษแก้วที่แหลมคมหรือสิ่งแหลมที่อันตรายที่สุดลงไป สำหรับคนไข้ที่เป็นเด็กนั้นหากพาตัวมาส่งรักษาไม่ทันหรือมาช้ากว่านี้เศษแก้วอาจทำให้ลำไส้ของเด็กทะลุได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นการรักษาจะยากและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

ดังนั้นจึงอยากแนะนำครอบครัวที่บ้านมีเด็กว่าเมื่อทราบว่าเด็กนั้นกลืมสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปาก ควรรีบพาตัวเด็กมาส่งรักษาที่โรงพยาบาลทันทีและเร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างเร่งรีบ ย้ำว่าผู้ปกครองไม่ควรพยายามนำสิ่งแปลกปลอมออกมาเอง เพราะอาจดันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจโดยไม่ได้ตั้งใจ  และการกระทำที่ไม่รู้นั้นอาจจะทำให้เด็กหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตลงได้ในที่สุด