ผัวเมียทะเลาะ ผัวเกาะกระโปรงรถ เมียขับกระบะลิ่ว โดนจับได้มีชู้!

ข่าวล่าสุด วานนี้กลายเป้นคลิปไวรัลดังใน Tiktok ผัวเกาะกระโปรงรถ เมียเป็นคนขับและมีลูกชายตัวน้อยอยู่ภายในรถกระบะด้วย ขับรถหนีหลังถูกจับได้ว่าแอบมีชู้กับเพื่อนชายของสามี ทะเลาะวิวาทจนมาเกิดเหตุนี้

ระทึก! ตร.เร่งประกบยิงล้อสกัด เมียขับกระบะลิ่ว ผัวเกาะกระโปรงรถ ภายหลังทะเลาะจับได้นอกใจแอบกิ๊กเพื่อนผัว ขณะมีลูกชาย 5 ขวบนั่งไปด้วย!

กรณี คลิปดังใน TikTok สาเหตุเกิดจากเรื่องราวความรักที่โดนนอกใจและถูกจับได้ ผัวเกาะกระโปรงรถ หลังมีปากเสียงกับผู้เป้นภรรยา เพราะตามจับได้ว่าเธอแอบนอกใจกับเพื่อนชายของสามีตัวเอง ขับรถหนีผัวตัวเองพร้อมลูกชาย ลากไปไกลกว่า 100 กิโลเมตร รถตำรวจพยายามขับสกัดช่วยเหลือจนต้องตัดสินใจลงไปยิงปืนใส่ยางรถสกัดหยุด

วันที่ 25 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ร้องตำรวจเอก ไสว เลื่อนแก้ว รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.เมืองชุมพร ได้รับแจ้งเหตุระทึก ผัวเมียทะเลาะวิวาทในพื้นที่ด่านตรวจทหาร จปร.ช่วงรอยต่อ ระนอง-ชุมพร ชายที่อ้างว่าเป็นสามีหญิงคนขับกระบะกระโดดเกาะฝากระโปรงกระบะ ขณะที่ฝ่ายหญิงขับรถอกจากพื้นที่ด่านทหาร เพื่อมุ่งหน้าเดินทางไปจังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจพร้อมด้วยทีมงานกู้ภัยจาก ต่างร่วมกันเข้าไปสกัดหยุดรถคันเกิดเหตุก่อนเกิดเรื่องร้ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกลางถนน

ปิกอัพ ISUZU คันสีดำ คนขับ คือ หญิงอายุกลางคน และเบาะข้างคนขับมีเด็กชายอายุเพียง 5 ขวบนั่งไปด้วย  และพร้อมกันนั้น ชายที่เป็นสามีหญิงคนขับเกาะกระโปรงอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นว่ากระจกหน้ารถนั้นมีรอยแตกขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ขับรถไล่ตามติดๆ เพราะคนขับไม่ได้ขับเร็วมากเท่าไหร่ ขณะอยู่บนถนนเจ้าหน้าที่ได้พยายามหาวิธีหยุดรถกระบะ ประสานงานตั้งด่านเพื่อสกัดทว่าไม่เป็นผล

ฝั่งภรรยาที่ขับกระบะ ขับขี่บนถนน ระนอง-ชุมพร (เพชรเกษม) คาดว่าจะขับมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองชุมพร ตำรวจสายตรวจพร้อมทีมงานอาสาชุมพร ขับรถไล่ตามติด แต่ก็ไม่สามารถที่จะสกัดรถได้ เพราะต้องสกัดรถอย่างระมัดระวังให้ใชเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น และมากไปกว่านั้นคือภายในกระบะต้นเหตุมีเด็กในรถ ขณะเดียวกันชายที่เกาะบนกระโปรงรถอาจจะเกิดอันตรายพลัดตกจากรถได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสกัดรถ กล้องจากรถของผู้ใช้ถนนต่างจับภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้ ซึ่งภาพที่แสดงออกเป็นเรื่องระทึกหวาดเสียว

รถกระบะได้ขับไปจนผ่านแยกปฐมพร ตรงเข้าพื้นที่เมืองชุมพร ซึ่งการจราจรเริ่มวุ่นวาย ทำให้หญิงกลางคนต้องขับรถหลบรถที่สวนทางมาและบวกกับหลบเลี่ยงการสกัดหยุดรถจากเจ้าหน้าที่ที่ขับตามมา ขับผ่านมาถึงบริเวณหน้า Big C ที่ตั้งก่อนถึงวงเวียน เจ้าหน้าที่ได้สกัดได้ เนื่องจากบริเวณนั้นเป้นทางตันระยะ 1 กิโลเมตร ขณะนั้นเองตำรวจลงจากรถไปยิงล้อยางสกัดรถ ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุร้ายบนถนนชุมชน รวมระยะทางที่หญิงคนขับมาถึงตัวเมืองชุมพรร่วมเป้นจำนวน 100 กิโลเมตร

ภายหลังเจ้าหน้าที่ยิงสกัดรถให้หยุดได้แล้ว จึงรีบเข้าไปช่วยฝั่งสามีคนขับ ลงมาจากกระโปรงรถ เพื่อมานั่งพักรอส่งตัวไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดชุมพร เนื่องจากผู้เป็นสามีขณะเกาะกระโปรงได้ใช้มือทุบกระจกไปด้วยจนสามารถทำให้กระจกรถแตกร้าว แม้ว่าเจ้าหน้าที่สกัดรถได้แต่คนขับและเด็กก็ยังไม่ลงจากรถมา

ทางด้านของ ด.ต.วิทวัส ศรีคง ผู้บังคับหมู่ปราบปราม สภ.เมืองชุมพร ได้เข้าไปเจรจาพูดคุยกับหญิงคนขับนานกว่า 1 ชม. ก่อนที่เธอจะยอมพาตัวเองและลูกชายออกมาจากรถกระบะ เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวไปที่ สภ.เมืองชุมพร เพื่อสอบปากคำหาสาเหตุข้อเท็จจริง

จากข้อมูลเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เผยว่า นายทวี วัย 49 ปี ชาวบ้านจำงหวัดสระแก้ว ชายคนเกาะกระโปรงกระบะ ส่วนคนขับรถเป็นภรรยา คือ นางสุภา วัย 48 ปี ชาวจังหวัดสงขลา ทั้งคู่คนเป็นผัวเมียกัน ประกอบอาชีพค้าขายในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยเมื่อเวลาไม่นานมานี้ ผู้เป็นสามีได้สืบรู้ว่าภรรยาของตัวเองแอบไปมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับเพื่อนชายของตัวเอง เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา สองสามีภรรยาได้ขับรถไปช่วยงานศพญาติในตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง

ขณะที่อยู่ภายในงานศพญาติ ผู้เป็นสามีได้ทำการถามเค้นเอาความจริงกับภรรยา เรื่องความสัมพันธ์ที่มีกับเพื่อนชายของตัวเองนั้น “ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว!” ภรรยายอมพูดเผยว่าเคยมีอะไรกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะโมโหจนสติแตก เพราะรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้บอกให้ภรรยาจะขับรถชนให้ตายกันไป

ภรรยารู้ตัวไหวกว่าคว้าลูกชาย 5 ขวบพร้อมกุญแจรถขับรถออกจากงานศพทันที ส่วนสามีไล่ตามไม่ทันกระโดดขึ้นไปที่หลังกระบะ พอภรรยาขับรถมาหยุดที่ด่าน จปร. ชายที่เป็นสามีได้ลงจากรถเปลี่ยนไปกระโดดเกาะกระโปรงหน้ารถ ก่อนที่ภรรยาจะขับรถต่อไปจนเป็นเหตุหวาดเสียวบนท้องถนนตามภาพในโลกโซเซียล

เจ้าหน้าที่นำตัวสองสามีภรรยาไปสงบสติอารมณ์ภายในป้อม ณ จุดตรวจถนนทางตัน อำเภอเมืองชุมพร และให้ทั้งสองปรับความเข้าใจพูดคุยกับด้วยเหตุผล โดยมีเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ดูทั้งคู่มีพฤติกรรมและทีท่าสงบและไม่เสี่ยงก่อเหตุระทึกซ้ำบนถนนอย่างที่ผ่านมา