ปิดฉากกัญชาเสรี: รมว.สาธารณสุข ในไทยเดินทางมาถึงทางแยกสำคัญอีกครั้ง ข่าวทั่วไทย เมื่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามประกาศชัดเจนว่า ต่อจากนี้ “กัญชา” จะถูกควบคุมการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น นับเป็นการพลิกทิศนโยบายครั้งสำคัญ หลังจากที่ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการปลดล็อกกัญชาเมื่อปี 2565
เหตุใดกัญชาเสรี รมว.สาธารณสุข ถึงถึงทางตัน?
หลังจากการประกาศปลดล็อกกัญชาในปี 2565 กัญชาได้กลายเป็นพืชที่ไม่อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 และสามารถปลูกหรือจำหน่ายได้อย่างเปิดเผย ส่งผลให้เกิด การเติบโตของธุรกิจร้านจำหน่ายกัญชา ทั้งในเขตเมืองและแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วประเทศ
แต่กระนั้น เสียงวิจารณ์ต่อการควบคุมที่หละหลวมก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทุกทิศทั่วไทย โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับ เด็กและเยาวชน ที่เข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น และปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ในทางที่ผิด
รัฐบาลปัจจุบันจึงมีท่าทีชัดเจนว่า จะไม่ผลักดันให้กัญชาเป็นสินค้าเสรีอีกต่อไป แต่จะควบคุมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และวิจัยเป็นหลัก
สาระสำคัญของประกาศฉบับใหม่จากกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายแพทย์ฉันทวิทย์ ธำรงวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศที่มีสาระสำคัญคือ
- การใช้กัญชาเพื่อสันทนาการถือว่าผิดกฎหมาย
- บุคคลทั่วไปห้ามใช้กัญชาเว้นแต่จะมีใบสั่งแพทย์ หรือใช้ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต
- ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาต้องมีใบอนุญาต และต้องแสดงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
- การโฆษณาหรือชักชวนให้ใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ประกาศนี้มีผลทันทีหลังลงราชกิจจานุเบกษา และถือเป็นมาตรการที่กระชับช่องโหว่เดิมซึ่งเคยถูกตั้งคำถามว่าเปิดกว้างเกินไป
ผลกระทบต่อผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างหนักในกลุ่มผู้ประกอบการร้านกัญชาเสรีทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ที่มีร้านค้ากว่า 6,000 แห่งหลายร้านที่เน้นขายเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อการสูบอาจ ต้องปรับตัวหรือปิดกิจการ ทันที หากไม่สามารถขออนุญาตให้ถูกต้องตามประกาศใหม่ได้
ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการที่เน้นด้านการแพทย์หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ กลับได้รับโอกาสในการดำเนินกิจการต่อได้ หากสามารถพิสูจน์วัตถุประสงค์การใช้กัญชาในรูปแบบที่ตรงตามนโยบายของกระทรวงฯ
กัญชากับบทบาททางการแพทย์ ยังคงเดินหน้าต่อ
แม้กัญชาเสรีจะถูกจำกัด แต่ การใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ยังคงได้รับการสนับสนุน โดยเฉพาะในกลุ่มโรคที่มีการวิจัยสนับสนุน เช่น
- โรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษา
- ผู้ป่วยมะเร็งที่ใช้กัญชาเพื่อบรรเทาอาการปวด
- การใช้ CBD (สารสกัดจากกัญชา) ในรูปแบบน้ำมันเพื่อบำบัดอาการวิตกกังวล
โดยจะต้องมี แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายหรือควบคุม ซึ่งจะทำให้การใช้ปลอดภัยและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เหมาะสม
เสียงสะท้อนจากสังคมและข้อถกเถียง
การประกาศควบคุมครั้งนี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน:
- ฝ่ายสนับสนุน ชี้ว่า เป็นการคุ้มครองสังคมจากผลกระทบด้านสุขภาพจิต การเข้าถึงของเยาวชน และการใช้ในทางที่ผิด
- ฝ่ายคัดค้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการและกลุ่มที่สนับสนุนกัญชาเสรี มองว่ารัฐบาลควรหาทางออกที่สมดุล เช่น การกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการใช้สันทนาการ หรือการกำกับดูแลที่ไม่ถึงขั้นห้ามเด็ดขาด
คำถามที่ตามมาคือ จะจัดการกับร้านค้าเดิมที่ได้รับอนุญาตในช่วงกัญชาเสรีอย่างไร? และรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาหรือเปลี่ยนผ่านแบบใดให้ผู้ประกอบการเดิม?
บทสรุป: กัญชาไทยในยุคหลังประกาศควบคุม
แม้จะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “กัญชาเสรี” กำลังกลายเป็นอดีต แต่การใช้กัญชาทางการแพทย์ยังคงมีบทบาทอย่างยั่งยืนการออกประกาศครั้งนี้จึงไม่ใช่การ “ห้าม” กัญชาโดยสิ้นเชิง ทันเหตุการณ์ข่าวทั่วไทย แต่คือการ “ควบคุม” ให้เกิดความปลอดภัยและสมดุลระหว่างประโยชน์ทางการแพทย์กับการปกป้องสังคมหากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจเรื่องกัญชา อย่าลืมติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับรู้สิทธิและข้อกำหนดใหม่ที่อาจส่งผลต่อการใช้ในชีวิตประจำวันของคุณ
สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมสดใหม่ทุกวันได้ที่นี่
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์ | Gclub | จีคลับ | Sbobet | Sbobet9