เกินปุยมุ้ย!! ร้านถ่ายเอกสารหน้าเลือด คิดเงินโหด 22 แผ่น ราคา 700 บาท

ข่าวล่าสุด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมานี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ร้านถ่ายเอกสารหน้าเลือด คิดเงินเกินจริงแม่ลูกไปถ่ายเอกสารหน้าสำนักงานราชการแห่งหนึ่ง แบบขาว-ดำ 22 แผ่น เจ้าของร้านคิดเงิน 700 บาท

นี่ลดแล้วนะ! ร้านถ่ายเอกสารหน้าเลือด คิดเงินโหด 22 แผ่น เอกสารแบบ ขาว-ดำ ร้านตั้งในสำนักงานราชการ จนท.ต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยจนต้องยอมคืนเงิน!!!

สองแม่ลูกสุดช็อกเจอค่าปริ้นเอกสารขาวดำสุดโหด ร้านถ่ายเอกสารหน้าเลือด ปริ้นงานแพงเกินความเป็นจริง เรื่องช็อกยิ่งกว่าคือร้านถ่ายเอกสารดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสำนักงานราชการ หลังเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นมาและเจ้าหน้าที่ทางสำนักงานต้องมาเป็นสื่อกลางเคลียร์ให้ทั้งสองฝ่ายจนเจ้าของร้านถ่าเอกสารยอมคืนเงินให้สองแม่ลูกคู่กรณี เจ้าหน้าที่เลยดำเนินการสั่งปิดร้านลง

วานนี้ 10 พ.ค. 65 นางลำพึง ทองประภา วัย 55 ปี พร้อมด้วย นายเมธิชัย ห่วงญาติ วัย 27 ปี แม่และลูกที่เป็นชาวอำเภอนางรอง-บุรีรัมย์ ได้ออกให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ทั้งสองคนได้เดินทางและไปใช้บริการร้านถ่ายเอกสารดังกล่าว โดยต้องการถ่ายเอกสารเพียง 22 แผ่นเท่านั้น ร้านถ่ายเอกสารคู่กรณีตั้งอยู่บริเวณของสำนักงานราชการอำเภอนางรอง หลังจากใช้บริการตนถูกเขาเรียกเก็บคิดค่าบริการ 700 บาท ส่วนในเนื้องานเป็นเอกสาร 22 แผ่น ถ่ายด้วยกระดาษ A4 ร้านถ่ายเอกสารนั้นเช่าที่ของสำนักงานเปิดร้าน

นางลำพึง ผู้เป็นแม่ได้ออกมากล่าวว่า เท่าที่ตนเองเคยไปใช้บริการถ่ายเอกสารร้านอื่นมานั้น ถ่ายเอกสารแบบขาวดำ ราคาที่เขาคิดส่วนใหญ่ไม่เกิน 5-10 บาท ต่อ 1 ใบ เท่านั้น นี่ก็นับว่าแพงมากพอควร ซึ่งร้านถ่ายเอกสารคู่กรณีนั้นมีการคิดราคาสูงเกินจริงไปมาก  ทำให้ถกเถียงกันและต้องเจรจาไกล่เกลี่ยกันโดยมีเจ้าหน้าที่มาเป็นคุยกลางพูดคุย ทางเจ้าของร้านเลยยอมลดค่าบริการจาก 700 บาท เหลือเงินเป็นจำนวน 678 บาท และเงินอีก 22 บาท นั้นเขาขอเก็บเป็นทั้งค่ากระดาษและยังเป็นค่าเสียเวลาด้วย ตนรู้สึกพอใจแล้วที่เขาลดราคาเลยไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว แค่อยากฝากบอกเขาอีกครั้งว่าอย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก เราคนไทยอยู่ด้วยกันหันเห็นใจซึ่งกันและกันบ้าง

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของสำนักงานราชการที่ร้านถ่ายเอกสารไปเช่าที่ได้เปิดเผยว่าไม่ได้มีการอนุญาตให้เจ้าของร้านถ่ายเอกสารเช่าที่ของสำนักงานอีกแล้ว  เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้มีการเกิดปัญหาเช่นเดียวกันขึ้นอีกในอนาคต เพราะมันขูดรีดเลือดเนื้อประชาชน เดี๋ยวจะมีคนมาวิจารณ์ในภายหลังได้ว่าหน่วยงานไม่ดูแลใส่ใจ