เจ้าอาวาสมรณภาพ หลังสั่งตัดโพธิ์ 100 ปี ชาวบ้านเผยลางร้าย

ข่าวทั่วไทย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณี เจ้าอาวาสมรณภาพ วัดเสาธงหิน อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี สาเหตุหลักชาวบ้านเชื่อมาจากอาถรรพ์ต้นโพธิ์ 100 ปี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมถูกตัด

สั่งตัดโพธิ์ 100 ปี กิ่งไม้หล่นใส่ศีรษะ เจ้าอาวาสมรณภาพ กะโหลกร้าว เลือดคลั่งในสมอง ก่อนตายบอก “คงอยู่ไม่ถึงปีใหม่”

ชาวบ้านแห่มาช่วยพระลูกวัดและสามเณรจัดเตรียมงานภายในวัดเสาธงหิน หลังจากมีการแจ้งว่า เจ้าอาวาสมรณภาพ หรือ พระอธิการสมชาย ชาวบ้านต่างคุยกันว่าท่านตายเพราะไปสั่งตัดกิ่งต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะตัดกิ่งไม้หล่นมาฟาดใส่หัวล่วงลงกระแทกพื้น

ชาวบ้านที่อยุ่ในเหตุการณ์ นายพนม พึ่งสวัสดิ์ วัย 51 ปี ได้ออกมาเผยว่า ขณะนั้นเจ้าอาวาสและช่างรับเหมาพากันขึ้นไปยังนั่งร้าน เพื่อที่จะทำการตัดทิ้งกิ่งต้นโพธิ์ที่ยื่นไปยังทางศาลาวัด และต้นโพธิ์เป็นต้นไม้เก่าแก่อายุ 100 ปี สาเหตุที่เจ้าอาวาสต้องการตัดกิ่งไม้นี้ เพราะบริเวณที่กิ่งไม้ยื่นไปต่อไปจะมีการทำเป็นศาลาอเนกประสงค์

นั่งร้านที่ขนาดความสูงระยะ 5 เมตร  เจ้าอาวาสและช่าง 1 คน ขึ้นไปยังนั่งร้านแล้วช่วยกันเลื่อยตัดกิ่งโพธิ์ เมื่อเลื่อยตัดได้ไม่นานกิ่งไม้ก็เริ่มหักขณะนั้นชาวบ้านและพระลูกวัดจำนวนหนึ่งยืนรออยู่บริเวณพื้นด้านล่างโดยทั้งหมดจะคอยช่วยกันดึงกิ่งไม้ดังกล่าวที่ตกลงมา ดึงไม่ให้กิ่งไม้หล่นไปใส่ศาลาวัด

ขณะที่ชาวบ้านและพระลูกวัดกำลังดึงกิ่งไม้และกิ่งไม้ก็ถูกเจ้าอาวาสและช่างกำลังตัด ตอนนั้นเองกิ่งไม้ก็โคนไปฟาดเข้าใส่กับนั่งร้านสูง 5 เมตร ทำให้พระเจ้าอาวาสและช่างรับเหมาตกลงมาจากนั่งร้านร่างกระแทกพื้นอย่างแรง เจ้าอาวาสมีเลือดไหลออกจาดหัวก่อนที่พระลูกวัดและชาวบ้านช่วยกันนำส่งตัวไปยัง รพ.สิงห์บุรี

ช่างรับเหมาที่ขึ้นไปตัดกิ่งโพธิ์พร้อมเจ้าอาวาสได้ออกมาเล่าเหตุการณ์ว่า ขณะที่กำลังตกจากนั่งร้านตนได้ยินเจ้าอาวาส (พระอธิการสมชาย) พูดขึ้นมาว่า “ไม่เอาอีกแล้ว” พูดเป็นจำนวน 2 ครั้ง พอเวลาผ่านไปถึง 07.00 น. เจ้าอาวาสก็ได้มรณภาพลงในที่สุด เพราะมีอาการของเลือดคลั่งในสมอง พร้อมมีการรายงานว่าจากแพทย์ว่าพบกะโหลกร้าว ชาวบ้านที่มาช่วยจัดเตรียมสถานที่เพื่อประกอบพิธีศพทางศาสนาของพระเจ้าอาวาส

นอกจากนี้ชาวบ้านได้บอกว่าก่อนหน้าที่พระเจ้าอาวาสได้เคยพุดไว้ว่า “ไม่รู้จะอยู่ถึงปีใหม่ไหม” จนเวลาผ่านมาเกิดเหตุแบบนี้ จากเหตุนี้ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าคำพูดนี้คงเป็นลางบอกเหตุและเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้ายเป็นแน่