แม่เฒ่าใจสลาย ลูกฟ้อง “ยักยอกทรัพย์” ปมแบ่งที่ดิน ซ้ำร้าย! ป่วยโรคมะเร็ง

16 มี.ค. 65 ข่าวทั่วไทย เมื่อวานที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานเรื่องสุดสะเทือนใจ แม่เฒ่าใจสลาย ถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกในไส้ ฟ้องแม่วัย 83 ปี หลังไม่พอใจปมแบ่งที่ดินตั้งข้อหา “ยักยอกทรัพย์” ทั้งที่ยังป่วยมะเร็ง

แม่เฒ่าใจสลาย ลูกไม่มาใส่ใจดูแลแม้แต่น้อย ทั้งที่ป่วยตัดเต้านมจากโรคมะเร็ง เครียดเสียใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน ฟ้องแม่แท้ๆ ยักยอกทรัพย์/แจ้งความเท็จ

เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17.00 น. รายงานการดราม่าภายในครอบครัว กรณี การแบ่งที่เดิน แม่เฒ่าใจสลาย สุดช้ำเพราะการกระทำของลูกชายในไส้ นางเสาวนิจ วัย 83 ปี ชาวสวนย่านบางกรวย โดยคุณยายท่านนี้ได้ถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหา “ยักยอกทรัพย์” และในข้อหา “แจ้งความเท็จ” และคดีเป็นคดีอาญา-เพ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วคดีอาญาในเรื่องนี้นั้น ศาลสั่งยกฟ้องแล้วเพราะตามหลักกฎหมายลูกหรือทายาทผู้สืบสันดานไม่สามารถที่จะฟ้องร้องแม่ผู้เป็นบุพการีได้

ทั้งนี้ แม้ว่าศษลจะสั่งยกฟ้อง นางเสาวนิจแล้ว ลูกชายของยายเสาวนิจก็ไม่ยอมเลิกรา ยังคงเดินหน้าฟ้องแม่โดยล่าสุดนี้เพิ่งขึ้นศาลเมืองนนท์ไปเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 65 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวทำให้ผู้เป็นแม่อย่างยายเสาวนิจไม่สามารถที่จะขมตานอนได้ ยายเอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกแท้ๆแสดงความรักและตอบแทนบุญคุณแม่ที่ลำบากส่งเขาเรียนจบสูงแบบนี้

นางเสาวนิจ ได้ออกมาเล่าว่า ตนเองแต่งงานกับ นายสมนึก และอยู่กินกันมานานตลอด 50 ปี และได้มีลูกด้วยกันจำนวน 4 คน บุตรหญิง 3 คน บุตรชาย 1 คน ได้แก่

1.นางสาวชวัลรัตน์ วัย 63 ปี (ลูกคนโต)

2.นายมนัส วัย 61 ปี (ลูกคนที่ 2)

3.นางสาวรัตนา วัย 58 ปี (ลูกคนที่ 3)

4.นางสาวอรสา วัย 57 ปี (ลูกคนสุดท้อง)

ครั้งที่ยายเสาวนิจยังอยู่ในวัยสาวก็ทำงานเก็บเงินมาซื้อที่ดินเอาไว้หลายแปลงด้วยกัน โดยที่ซื้อไว้อยู่ที่กาญจนบุรี-นครปฐม ฯลฯ แต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในสวนที่บางกรวย ที่ผ่านมา นายสมนึก ผู้เป็นสามีวันๆเอาแต่ดื่มสุราไม่ช่วยเหลือทำงาน

ในระยะต่อมาผู้เป็นสามี นายสมนึก ได้นำที่ดินในย่านบางกรวยเอามาแบ่งให้กับลูก 3 คน โดยแต่ละคนได้ที่ไป 161 ตารางวา ที่ดินพื้นที่มีราคาหลายสิบล้านบาท และลูกคนที่ไม่ได้ที่ตรงนี้ไปนั้น คือ ลูกสาวคนโต และเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนางเสาวนิจไม่มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย และตัดสินใจไปสอบถามข้อมูลเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมานี้ตนเองไม่รู้เรื่องด้วย ทว่าเจ้าหน้าที่เอาลายเซ็นของยายมาให้ดู จนได้รู้ว่ามีคนปลอมลายมือลลงชื่อแทน ทีแรกจะฟ้องสามีแต่เมื่อนึกถึงลูกว่าจะติดคุกติดตารางไปด้วยจึงไม่แจ้งความ ต่อมาสามีเสียชีวิตลงและในฐานะที่ตนเป็นเมียจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจดำเนินการยกที่ดิน 161 ตารางวา ยกให้แก่ลูกสาวคนโตเพื่อจะได้เท่าเทียมกับลูกคนอื่นๆ

ทั้งนี้ เมื่อ นายมนัส บุตรชายคนรอง ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่พอใจและเดินทางไปฟ้องแม่ต่อศาล โดยกล่าวหามาผู้เป็นแม่ยักยอกทรัพย์ และให้การแจ้งความเป็นเท็จ ในเรื่องที่ยกที่ดิน 161 ตารางวา ให้กับพี่สาวคนโต ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ นางเสาวนิจไม่ได้บอกกล่าวต่อ นายธนัส ทว่าเรื่องนี้ศาลยกฟ้องเพราะลูกในไส้ไม่สามารถฟ้องร้องแม่ของตนเองได้

ต่อมาไม่นานมานี้ลูกสาวคนเล็ก หรือ นางสาวอรสา ได้เสียชีวิตลงและยายเสาวนิจได้รับที่ดินในส่วนของลูกที่ตายคืน 161 ตารางวา ส่วนลูกชายซึ่งรับราชการในกรมอู่และยังมีความรู้ในเรื่องของกฎหมาย จึงได้แจ้งเรื่องและนำโฉนดของน้องสาวที่ตายไปให้กรมที่ดิน เพื่อกันไม่ให้ใครนำเอาไปคัดลอกสำเนา

ทางด้านเจ้าหน้าที่บอกต่อนายธนัสว่า ที่ดินดังกล่าวนั้นเป็นชื่อของนางเสาวนิจ หรือ คุณยายเสาวนิจ โดยก่อนหน้าคุณยายได้มาดำเนินการไว้แล้ว เวลาผ่านมา 10 ปี ยายเสาวนิจกับได้ถูกหมายมาเรียกให้ไปขึ้นศาล (5 เม.ย.65) ยายเฒ่าได้ถูกตั้งข้อหายักยอกทรัพย์และแจ้งความเป็นเท็จ คนที่ทำเรื่องฟ้องคือลูกชายคนเดียวของคุณยายเสาวนิจ

คุณยายออกมาร้องไห้สุดแสนเสียใจที่ตนเองทนลำบากเลี้ยงดูลูก(ชาย) จนสามารถหาเงินส่งลูกได้เรียนจบสูง ได้เข้าทำงานรับราชการอย่างดี ตอนนี้ยายเองก็ป่วยจากโรคมะเร็งเต้านม และต้องได้รับการผ่าตัดเต้าทิ้งไปหนึ่งข้าง แต่ผู้เป็นลูกชายรับราชการก็ไม่ยอมมาเซ็นเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลให้ และยายเสาวนิจต้องออกค่าใช้จ่ายเป็นเงินส่วนตัวเป็นล้าน

ยังนับว่าโชคดีที่ลูกสาวคนโตไม่ทอดทิ้ง มาคอยดูแลและหลานมาช่วยดูช่วยเหลือในทุกๆวัน แต่ลูกอีก 2 คนที่เหลือ ไม่เคยมาดูดำดูดี ตนเองได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะคิดได้มากราบเท้าขอโทษ และเวลาผ่านมากว่า 9 ปี ที่ไม่ได้เจอลูกทั้งสอง แต่สิ่งที่เกิดทำให้ใจสลายลูกชายส่งหมายศาลมาให้