สลด! ลูกสาวมาดูใจพ่อ แต่สิ่งที่เจอคือ “ชายแปลกหน้า” ตามหาทั่วโรงพยาบาล

ข่าวเด่นออนไลน์ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณี ลูกสาวมาดูใจพ่อ หลังส่งเข้ารักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด เมื่อเดินไปถึงเตียงพ่อตกใจ คนบนเตียงไม่ใช่พ่อตัวเอง ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน

ลูกสาวมาดูใจพ่อ สุดท้ายไม่ได้เป็นดังคิด พ่อติดเชื้อตายไปร่วมเดือน พยาบาลยันว่าเป็นพ่อตัวจริงตามข้อมูลเอกสาร “ผู้ป่วยเปลี่ยนไป เพราะขาดสารอาหาร”

ใจสลายไม่ทันตั้งตัว.. ลูกสาวมาดูใจพ่อ กลายเป็นว่าต้องเร่งเอาชุด PPE มาใส่ก่อนออกวิ่งวุ่นหาผู้เป็นตัวตัวจริงทั่วทั้งโรงพยาบาล เนื่องจากได้มารู้ความจริงว่ามีการสลับตัวผู้ป่วย สุดท้ายได้มารู้ว่าพ่อของตัวเองเสียชีวิตไปตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ไม่รู้ว่ามีการสลับเปลี่ยนผู้ป่วยกันตอนไหนเช่นเดียวกัน

น.ส. ธัชสุภา วณิชยกุลวงศ์ อายุ 33 ปี เดินทางเข้าไปพบตำรวจ สภ.เมืองปะทุธานี ภายหลังจากรู้เรื่องของผู้เป็นพ่อ นายธีระ ระงับโจร อายุ 66 ปี หลังจากรู้ว่าติดเชื้อก็ได้ส่งไปรักษาอาการป่วยภายในโรงพยาบาลปทุมธานี โดยตอนนี้ผู้เป็นพ่อหายไปจากโรงพยาบาล และแจ้งความตำรวจให้เข้าไปช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง

น.ส.ธัชสุภา ได้ออกเล่าว่า พ่อของตนเดิมที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ดังนั้นตนได้ให้พ่อไปอยู่ในความดูแลภายในศูนย์สำหรับดูแลคนแก่แห่งหนึ่ง เวลาผ่านไปที่ศูนย์ได้มีคนป่วยติดเชื้อเป็นจำนวนมาก เป้นสาเหตุให้พ่อติดเชื้อเหมือนกับคนป่วยท่านอื่นๆ พศูนย์ส่งพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลปทุมธานี เมื่อช่วงต้นเดือน มกราคม 2565 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้มีการติดต่อบอกอาการของพ่อมาเป็นระยะๆต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 65 เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลได้ติดต่อมาแจ้งกับลูกสาวว่า พ่อเริ่มมีอาการไม่ดีแล้ว ให้เดินทางมาดูใจพูดคุยเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ครอบครัวและญาติเร่งมาที่โรงพยาบาลทันที เมื่อมาถึงมาเจอคนป่วยที่นอนบนเตียงดันไม่ใช่ผู้เป็นพ่อ แม้ว่าป้ายชื่อนั้นยังติดชื่อพ่อเป็นคนไข้เจ้าของเตียง

เมื่อรู้ดังนั้นหญิงสาวได้เดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ทว่าพยาบาลยังให้การยืนยันว่า ผุ้ป่วยบนเตียงเป็นพ่อตัวจริง เนื่องจากเชื่อในเอกสารที่ส่งมาให้รักษาก่อนหน้า และพยาบาลยังอ้างอีกว่า อาจจะเป็นอาการป่วยและการรับประทานอาหารที่ไม่ได้มากเท่าที่ควร ทำให้ผู้ป่วยมีสภาพทางร่างกายที่เปลี่ยนไป แต่ทว่าหญิงสาวไม่ยอมและยันว่าคนที่นอนบนเตียงไม่ใช่พ่อแน่นอน

น.ส.ธัชสุภา ได้เร่งติดต่อกลับไปยังศูนย์สอบถาม โดยคนดูแลที่ศูนย์ก็ได้ให้การยืนยันว่า ผู้ป่วยที่พยาบาลบอกว่าเป็นพ่อของตัวเองนั้นไม่เป้นความจริง เพราะคนที่นอนอยู่ คือ นายบุญหนา กลับมาทางโรงพยาบาลหญิงสอบถามอีกครั้งว่า นายบุญหนา ได้มารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลจริงและพได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 23 มกราคม 2565

ทางลูกสาวของ นายบุญหนา ได้เร่งเดินทางมาที่โรงพยาบาลได้ดูคนป่วยบนเตียงพบว่าเป็นพ่อของตนตัวจริง จึงเกิดข้อสงสัยว่าพ่อที่ตนเองเผาไปแล้วนั้นเป็นใคร ดังนั้นโรงพยาบาลต้องออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยแจงว่า คาดว่ามีการสลับชื่อกันระหว่างผู้ป่วย

เมื่อทางโรงพยาบาลแจงว่ามีการสลับตัวของคนป่วย แล้วเจ้าหน้าที่ทำการรักษากันยังไง? พ่อของน.ส.ธัชสุภา ป่วยความจำเสื่อมและติดเชื้อ ส่วน นายบุญหนา ได้ป่วยติดเชื้อที่ปอด โรงพยาบาลแจงสลับตัวคนป่วย ทั้งนี้ นายแพทย์ ยรรยง เสถียรภาพงษ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลปทุมธานี ได้ขอคุยกับลูกสาวของผู้ป่วยทั้งสองท่าน

สาเหตุที่มีการสลับตัวคนป่วย เนื่องมาจากคนป่วยทั้งสองเป็นผู้ป่วยติดเตียงทั้งคู่ เข้ามารักษาในห้องเดียวกัน นอนเตียงข้างกัน ประกอบกับผู้ป่วยทั้งสองไม่สามารถจะสื่อสารพูดคุยได้เหมือนคนอื่นๆ

วันที่ 20 ม.ค. 65 เจ้าหน้าที่ได้ย้ายผู้ป่วยทั้งสองออกจากห้อง โดยย้ายทั้งคู่ไปรักษาในอาคารผู้ป่วยติดเชื้อ เจ้าหน้าที่คงสับสนเพราะทั้งอาการป่วยและเรื่องต่างๆทั้งคู่เป็นใกล้เคียงกันจึงมีการสลับเปลี่ยนชื่อ

วันที่ 23 ม.ค. 65 มีการแจ้งตามเวชทะเบียนว่า นายบุญหนา เสียชีวิต โรงพยาบาลจึงประสานให้ญาติคนไข้มารับศพไปบำเพ็ญกุศล และด้วยศพติดเชื้อจึงมีการห่อคุ้มด้วยถุง 2 ชั้น ญาติของนายบุญหนาไม่สามารถเห็นหน้าศพได้ หลังเผาเสร็จได้นำกระดูไปเก็บที่บ้านในจังหวัดชลบุรี และกระดูกส่วนหนึ่งญาตินำไปลอยอังคารที่สัตหีบ

เมื่อย้อนกลับไปดูโพสต์เฟซบุ๊กจากทางฝั่งของลูกสาว นายธีระ ช่วงที่ลูกสาว 2 คน รู้ว่าพ่อหายและคนบนเตียงไม่ใช่พ่อ ทั้งสองตัดสินใจสวมใส่ชุด พีพีอี และเริ่มเดินไปทั่วโรงพยาบาล เพื่อตามหาพ่อด้วยความเป็นห่วง ส่วนโรงพยาบาลก็ไม่ให้ความสนใจที่จะช่วยตามหาหรืออะไร จากโพสต์ระบุว่า “ถ้าเขาหาพ่อให้เราไม่ได้ เราก็จะออกตามหาพ่อเอง เสี่ยง 2 คน แลกได้เจอพ่อ 1 คน ยอมทุกอย่างเพื่อให้ได้พบพ่ออีกครั้ง” สุดท้ายสองสาวก็ใจสลาย เพราะพ่อตัวจริงได้ตายไปเมื่อ 23 มกราคม เพราะโรงพยาบาลสลับตัวคนป่วยผิดเตียง อ้างว่าผู้ป่วยติดเตียงทั้งคู่ อาการเดียวกัน สื่อสารไม่ได้ นอนเตียงข้างกัน เจ้าหน้าที่ไม่รู้สลับตอนไหน