กินเล็บเต็มคำ ใส่ขวดอย่างดี! หนุ่มช็อกอ้วกพุ่ง นึกว่าทุกเรียนทอด ดูเหลืองกรอบ!

ข่าวเด่นออนไลน์ เมื่อไม่นานมานี้เพจดัง ทำเอาชาวเน็ตสยองขนลุกซู่ หนุ่มช็อกอ้วกพุ่ง เพราะความเข้าใจผิดในสิ่งที่เห็น นึกว่าเป็นอาหารที่กินได้ สุดท้ายกรอกเข้าปากเต็มคำ รู้เรื่องเลย! มันคือ เล็บสีเหลืองใส่ขวดแก้ว

เห็นกรอกใส่ขวด นึกว่าทุเรียนทอด รู้ความจริงแล้วสยอง! หนุ่มช็อกอ้วกพุ่ง กินเล็บเต็มคำ ประเด็นเคี้ยวด้วย!! หนึบๆหนับๆ ชาวเน็ตขนลุกแทน

โซเซียลแตกตื่นกับสิ่งนี้ เห็นครั้งแรกเข้าใจผิดตามไปด้วย กรณี หนุ่มช็อกอ้วกพุ่ง เพราะเข้าใจผิดคิดว่า “เล็บ” คือ “ทุเรียนทอด” หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกแชร์เรื่องราวนี้ ชาวเน็ตต่างพากันฮือฮาของที่ไม่น่ากิน หรือแทบจะไม่ใช่อาหารที่คนกินได้เลย มันช่างสยองเกินไปแล้ว

วันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา เพจ จ๊อกจ๊อก ออกมาแชร์เรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊ก หลังออกมาโพสต์แชร์ประสบการณ์สยองลงภายกลุ่ม จ๊อกลดา เรื่องราวการเข้าใจผิดที่นำพาไปสู่การกินของไม่กิน ทั้งนี้เจ้าของเรื่องเผยว่า ตัวเขาเองได้ไปกินเล็บของคนอื่นมา สาเหตุเกิดมาจากความเข้าใจผิดทั้งนั้น  เนื่องจากเป็นว่ามันสีเหลืองตัดเป็นแผ่นใส่โหลแก้วไว้อย่างดี ทั้งหมดถูกอัดแน่นใส่โหลทั้งสอง ตังเขาเปิดกินเพราะเข้าใจว่านั้นมันคือ “ทุเรียนทอด”

นอกจากนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊กเจ้าของเรื่อง ได้มีการโพสต์รูปภาพของโหลแก้วใส่เล็บมาให้ดู เผยให้เห็นว่าเขาไม่ได้โกหก ภาพปรากฏชัดว่ามีโหล 2 ใบ ที่ถูกใส่สิ่งของบางอย่างมีลักษณะสีกเหลืองสวย คือ แทบจะดุไม่ออกเลยว่าเป็นเล็บ เชื่อว่าหลายคนที่เห็นครั้งแรกก็คิดเหมือนเขาว่ามันคือทุเรียนทอด เจ้าเรื่องเผยต่อว่า มีผู้ชายตัดเล็บใส่ในโหลแก้วไว เรากินเข้าไปและเคี้ยวมันก็กรอบดี

ชาวเน็ตเมื่อผ่านมาเห็นโพสต์ดังกล่าวต่างช็อกและมาคอมเมนต์ แค่เห็นก็จะอ้วกตาม ถ้าไม่บอกว่าเล็บก็เชื่อว่าเป็นทุเรียนทอด มันเหลืองแบบนั้น! บางบอกมีคนเล็บยาวหนาได้ขนาดนี้เลยหรืออย่างไร ถ้าจะใหญ่ยาวแหละหนาแบบนี้มันต้องเป็นเล็บเท้าแน่ๆ บางรายบอกว่าชายคนที่เก็บเล็บใส่โหลเขาเป็นลูกศิษย์พริดาหรือไม่ เพราะลัทธินี้ส่วนให้ลูกศิษย์นำของเสียในร่างกายมากินรักษาโรค กินขี้ไคล กินฉี่-อุจจาระ ฯลฯ

เมื่อเขาโพสต์แชร์เรื่องสุดขนลุกได้ไม่นาน ชาวเน็ตก็ต่างมากดแชร์และพูดกันถกเถียง เรื่องราวสุดสะพรึงสยอง อ้วกจะพุ่งตาม บ้างขำกับความเข้าใจผิดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้ บางวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างเรื่องโกหกเท่านั้น ทั้งนี้ เจ้าของเรื่องที่มาโพสต์ในกลุ่มก็ไม่ได้ให้การยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่