ประวัติศาสตร์ รู้หรือไม่ว่า!? มัมมี่ไม่ใช่การรักษา “สภาพศพ” แต่เป็นการตั้งใจสร้าง “เทวรูป” ที่แท้จริงของชาวอียิปต์โบราณ จากร่างของ ฟาโรห์ ผู้เป็นดัง “เทพผู้ที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์” (living god) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยารุ่นใหม่จำนวนหนึ่งออกมาอธิบายเรื่องนี้ว่า คนทั้งโลกต่างเข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดประสงค์
มัมมี่ไม่ใช่การรักษา “สภาพศพ” แต่เป็นการตั้งใจสร้าง “เทวรูป” ที่แท้จริงของชาวอียิปต์โบราณ
ผู้เชี่ยวชาญด้าน New Generation Of Egyptology จำนวนไม่น้อยออกมาอธิบายเรื่องดังกล่าวว่า คนทั้งโลกนั้นพากันไม่เข้าใจเกี่ยวกับ จุดประสงค์ในการทำมัมมี่ ของคนชั้นสูงกันมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่าแท้จริง โดยชาวอียิปต์โบราณมีความตั้งใจจะสร้าง “เทวรูป” จากร่างของ ฟาโรห์ ผู้เป็นดัง “เทพผู้ที่มีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์” (living god)
การที่คนจำนวนไม่น้อยนั้นเข้าใจผิดว่าการ สร้างมัมมี่ คือการ รักษาสภาพศพ ให้ไม่เน่าไม่เปื่อยอยู่ได้ถาวร เพื่อที่คนที่ตายไปแล้วจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จากหลังโลกของความตายอีกครั้ง ความเข้าใจผิดนี้มันมาจากการนักโบราณคดีรุ่นแรกๆ ในยุควิกตอเรียน ซึ่งมีอคติเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความตายได้ออกมาตีแผ่ความเข้าใจผิดนี่ออกไปอย่างกว้างขวาง
โดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนมารองรับ นักโบราณคดีที่ได้ศึกษางานวิจัย Research in Egyptology ที่เป็นกลุ่มแรกนั้น จะเป็นชาวอังกฤษที่อยู่ในช่วงปลายสมัยศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งคนที่อยู่ในสมัยนั้นเป็นคนที่หมกหมุ่นและวุ่นวายเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ตามความเป็นอยู่ของคนยุคสมัยนั้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้แปลกหรือประหลาดอะไรมากนักถ้าหากพวกเขานั้นจะเป่าประกาศบอกกับทุกๆคนไปว่า การทำมัมมี่ ขึ้นมานั้นก็ทำขึ้นเพื่อให้คนที่ตายหรืจากโลกใบนี้ไปแล้วได้มีชีวิตหลังความตายที่ดี มีร่างกายและใช้ร่างกายเหมือนกับตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์ทุกประการ
อย่างไรก็ตาม A new generation of Egyptologists ในยุคสมัยนี้นั้นมีความคิดเห็นแตกต่างออกไปจากความรู้เดิมที่เคยปลูกฝังกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างเช่น Dr.Campbell Price จาก Manchester Museum ก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า มัมมี่ของคนชั้นสูง คือ เทวรูป
Dr.Campbell Price บอกว่า มีหลักฐานมากมายที่อธิบายถึงขั้นตอนการทำให้ พระศพของฟาโรห์ และ พระราชินี กลับคืนสู่ภาวะเทพที่แท้จริง ซึ่งก็คือการทำให้ร่างไร้ชีวิตของทั้งสองพระองค์กลายเป็นรูปเคารพที่มีความสำคัญทางศาสนาและจิตวิญญาณให้ผู้คนใด้ศรัทธา
ยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือแนวคิดใหม่นี้ได้แก่ หน้ากากทองคำที่ใช้วางทับลงบนหีบบรรจุร่าง pharaoh’s mummy และบรรดาพระราชวงศ์ โดยหน้ากากจะถูกสร้างขึ้นมาให้มีความงามและความสมบูรณ์แบบ ตามความคิดเห็นที่บอกว่าทำให้เหมือนกับเทพ มากกว่าจะมุ่งทำให้เหมือนใบหน้าจริงของผู้วายชนม์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
Dr.Campbell Price บอกว่ามันคือความแตกต่างทางด้านของความคิดที่ลึกลับซับซ้อนแต่ก็มีความสำคัญมาก ความเชื่อเก่าที่ว่าคือวิญญาณจะกลับคืนสู่ร่างและทำให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้นั้น ไม่ได้มีการแสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนในขั้นตอย การทำมัมมี่ หรืองานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับ มัมมี่ มากนัก มันไม่เหมือนกับที่คนทั่วไปจินตนาการเอาไว้
และในเดือนกุมภาพันธ์ที่กำลังจะมาถึงนี้ทางด้าน Manchester Museum ก็จะทำการจัดการโชว์ผลงาน “มัมมี่ทองคำแห่งอียิปต์” (Golden Mummies of Egypt) โดยจะมีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดเรื่อง มัมมี่คือเทวรูป เอาไว้ด้วย ประเด็นที่ถูกนำมาพูดถึงกันอีกหนึ่งประเด็นซึ่งฝ่าย A new generation of Egyptologists
ก็ได้ยกขึ้นมาสนับสนุนแนวคิดของตัวเอง ได้แก่ การที่มัมมี่ ของชนชั้นปกครองระดับสูงบางร่างไม่ได้รับขั้นตอนการทำศพอย่างละเอียด เพราะขาดความใส่ใจในการถนอมรักษาสภาพศพอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น พระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนนั้น ติดแน่นอยู่กับพื้นด้านล่างของหีบศพ ที่เป็นแบบนั้นก็เป็นเพราะเป็นการทำมัมมี่แบบพอแล้วๆไป
Dr.Campbell Price แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ถ้าอ่านจากบันทึกของผู้ค้นพบสุสานที่เก็บพระศพ เราจะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการทำมัมมี่ มีความผิดพลาดจนเกิดความเสียหาย แต่คนโบราณที่รับหน้าที่ทำพระศพไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ดังนั้น ร่างมัมมี่ของตุตันคามุน จึงไม่ได้รับการถนอมรักษาอย่างดีเท่าที่ควร
และที่เป็นแบบนั้นเป็นเพราะว่าการสร้างรูปลักษณ์ของคนตายให้เหมือนตัวจริงตอนยังมีชีวิตอยู่ ในแบบที่มองเห็นแล้วรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครนั้น ไม่ใช่จุดประสงค์หรือเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของคนทำมัมมี่มาตั้งแต่แรก ชาวอียิปต์โบราณถือว่ารูปเคารพนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเหมือนกับองค์เทพ รวมไปถึงภาพวาดและภาพสลักที่ถือเปรียบเสมือนตัวแทนของเทพเจ้าด้วย โดยถือว่าโลกของภาพสัญลักษณ์พวกนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง
บันทึกของอียิปต์โบราณยังเขียนเอาไว้เพิ่มเติมว่า เทวรูป ที่อยู่ในสมัยนั้นได้รับการเจิมด้วยน้ำมันและน้ำหอม ในบางครั้งมีการห่อหุ้ม เทวรูป ด้วยผ้าลินินเช่นเดียวกันกับ การทำมัมมี่ ซึ่งขั้นตอนการมัดและพันด้วยผ้าประเภทนี้อาจเป็นการถ่ายทอดอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพให้แก่รูปปั้นหรือรูปสลักนั้นก็เป็นได้
ส่วนการบรรจุอวัยวะภายในของคนที่ตายลงในโถที่มีฝาปิดเป็นเศียรของเทพ (Canopic jars) Dr.Campbell Price บอกว่าคือขั้นตอนการแช่อวัยวะพวกนั้นให้อิ่มและชุ่มไปด้วยพลังเทพของคนที่ตายไปแล้ว มากกว่าจะเป็นการดองรักษาสภาพอวัยวะเอาไว้เพื่อให้หยิบมาใช้สอยได้ง่ายในโลกหลังความตาย
ถึงแม้ว่าแนวคิดใหม่จะเป็นจุดประสงค์ของ การทำมัมมี่ จะมีเหตุผลที่ค่อนข้างน่ารับฟัง แต่ก็มีนักอียิปต์วิทยาจำนวนมากเลยที่ยังไม่เห็นด้วยนัก อย่างเช่น Dr. Stephen Buckley นักโบราณคดีและนักเคมีวิเคราะห์จาก united kingdom york university ได้แสดงความเห็นว่าการถนอมรักษาสภาพศพนั้นเป็นจุดประสงค์สำคัญของการทำมัมมี่ ซึ่งไม่อาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้
Dr. Stephen Buckley บอกว่า “มัมมี่ของฟาโรห์หรือราชินีบางร่างคล้ายๆกับ เทวรูป มากกว่ามนุษย์จริงๆ อย่างเช่น มัมมี่ของ Tutankhamun, Amenhotep ที่สาม, และ Akhenaten แต่มัมมี่หลายร่างก็ดูเหมือนคนจริงที่กำลังนอนหลับอยู่มากกว่า เช่น มัมมี่ของ Thutmose ที่สาม, Thutmose ที่สี่, Amenhotep ที่สอง, และราชินีตีย์ (Tyi)
ซึ่งแปลว่าคนที่ทำมัมมี่มีความใส่ใจและถนอมรักษาศพรางกับว่ายังมีชีวิตอยู่ การวาดหรือสลักภาพเหมือนของคนที่ตาย ยังรวมเอาตำหนิหรือความบกพร่องทางรูปลักษณ์บางประการไว้ด้วย เพื่อให้วิญญาณสามารถจำร่างของตนได้ เวลาที่กลับคืนสู่บ้านเดิมของตนเป็นครั้งคราว
แน่นอนว่าความต้องการในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณนั้น ไม่ได้อยู่ที่การรักษาสภาพศพให้คงทนถาวรแค่เพียงหนึ่งอย่างแน่นอน แต่การปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างสิ้นเชิงในวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว เท่ากับมองผิดประเด็นไปมากทีเดียว Dr. Stephen Buckley กล่าวสรุป
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์