“วิกฤตฟองสบู่แตก” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540” ถือเป็นเหตุการณ์เศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ วิกฤตนี้ไม่เพียงทำให้ค่าเงินบาทต้องลอยตัวครั้งแรก แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ธนาคาร และประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศ
ต้นเหตุของฟองสบู่แตกมาจากการเปิดเสรีทางการเงินในยุคก่อนหน้า การขยายตัวของสินเชื่อที่เกินความสามารถของระบบเศรษฐกิจ และการขาดกลไกกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ สุดท้ายเมื่อมีการโจมตีค่าเงินบาทโดยนักลงทุนต่างชาติ ระบบการเงินไทยก็พังทลายลงในชั่วข้ามคืน
หนี้ต่างประเทศและการเปิดเสรีทางการเงิน จุดเริ่มต้นของปัญหา
ในช่วงปี 2532–2537 ประเทศไทยเปิดเสรีทางการเงินเต็มรูปแบบ ทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ภายใต้ค่าเงินบาทคงที่ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภาคเอกชนสามารถกู้ยืมเงินต่างประเทศโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
รัฐบาลยังอนุมัติให้จัดตั้ง Bangkok International Banking Facilities (BIBF) ในปี 2535 เพื่อส่งเสริมธุรกิจวิเทศธนกิจ ส่งผลให้สถาบันการเงิน 46 แห่งสามารถระดมทุนจากต่างประเทศและปล่อยสินเชื่อได้อย่างอิสระ
แต่สิ่งที่ตามมาคือ การก่อหนี้ระยะสั้นจำนวนมหาศาล โดยปลายปี 2540 หนี้ต่างประเทศของไทยพุ่งสูงถึง 109,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยกว่า 65% เป็นหนี้ระยะสั้น ซึ่งหมายความว่าประเทศมีหนี้ที่ต้องชำระคืนเร็วมาก ในขณะที่เงินสำรองระหว่างประเทศมีเพียง 70% ของหนี้ระยะสั้น เท่านั้น
ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และการลงทุนเกินตัว
ช่วงปี 2530–2539 ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยขยายตัวรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ทั้งบ้านจัดสรร คอนโด อาคารสำนักงาน และโครงการที่ดินทั่วประเทศ ราคาที่ดินพุ่งสูงจากการเก็งกำไร ผู้ประกอบการกู้เงินมหาศาลเพื่อลงทุนต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงอุปสงค์ที่แท้จริง
การเติบโตของตลาดหุ้นไทยในเวลานั้นยิ่งกระตุ้นให้เกิดการระดมทุนเกินตัว นักลงทุนจำนวนมากมองว่าอสังหาริมทรัพย์คือแหล่งทำกำไรแน่นอน ส่งผลให้เกิดภาวะ “ฟองสบู่” ที่ราคาสินทรัพย์สูงเกินมูลค่าที่แท้จริง
เมื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอในปี 2539 โครงการจำนวนมากเริ่มขายไม่ออก เกิด NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ในระบบธนาคารพาณิชย์อย่างกว้างขวาง นี่คือจุดเริ่มของการแตกของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย
สถาบันการเงินล้มระเนระนาดและปัญหา NPL
ปลายปี 2539 ความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินไทยเริ่มสั่นคลอน รัฐบาลต้องประกาศ ปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 18 แห่ง และ ธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง จากนั้นในปี 2540 กระทรวงการคลังสั่งเพิ่มทุนอีก 10 แห่ง และสุดท้ายต้องปิดเพิ่มรวม 58 แห่ง ภายในกลางปี
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเข้ามาอุ้มสถาบันการเงินหลายแห่งที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี NPL สูงถึง 52.3% ของสินเชื่อทั้งหมด
สาเหตุสำคัญ ประวัติศาสตร์ มาจากการปล่อยกู้โดยไม่ตรวจสอบความสามารถของลูกหนี้อย่างรอบคอบ หลายโครงการได้รับอนุมัติสินเชื่อเพราะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองหรือธุรกิจ ซึ่งทำให้ระบบการเงินขาดวินัยอย่างร้ายแรง
การดำเนินนโยบายการเงินที่ขาดประสิทธิภาพ
แม้รัฐบาลจะเปิดเสรีทางการเงิน แต่กลับยังคงใช้นโยบาย ตรึงค่าเงินบาท และไม่มีมาตรการควบคุมการไหลของเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเงินทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามดูดซับสภาพคล่องด้วยการขายพันธบัตรเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน แต่กลับทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสูงขึ้น
จนกลายเป็นแรงดึงดูดให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอีกมาก สร้าง วัฏจักรเงินร้อน (Hot Money) ที่เสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในเวลาเดียวกัน มาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินก็ไม่เข้มงวด ทำให้ไม่สามารถควบคุมความหละหลวมของระบบสินเชื่อได้อย่างทันท่วงที
การโจมตีค่าเงินบาท – ฟางเส้นสุดท้ายก่อนวิกฤต
ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง นักลงทุนต่างชาติจึงเริ่ม โจมตีค่าเงินบาท (Currency Attack) ในปี 2540 โดยเฉพาะกองทุนชื่อดังอย่าง Quantum Fund ที่บริหารโดย George Soros
นักลงทุนเหล่านี้ใช้กลยุทธ์เก็งกำไรค่าเงิน ด้วยการขายเงินบาทออกและถือเงินดอลลาร์แทน เพื่อกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เมื่อข่าวลือเรื่อง “การลดค่าเงิน” แพร่กระจาย ตลาดก็ขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง
ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องนำเงินทุนสำรองถึง 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (สองในสามของทุนสำรองทั้งหมด) มาใช้ปกป้องค่าเงินบาท แต่สุดท้ายไม่สามารถต้านแรงตลาดได้ จนวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ไทยต้องประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาท และปล่อยให้ค่าลดลงอย่างเสรี นั่นคือจุดเริ่มต้นของ “วิกฤตฟองสบู่แตก” อย่างแท้จริง
ผลกระทบและบทเรียนจากวิกฤตฟองสบู่แตก
หลังการลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทันที ค่าเงินอ่อนจาก 25 บาทต่อดอลลาร์เป็นกว่า 50 บาทในไม่กี่เดือน ธุรกิจจำนวนมากล้มละลาย คนตกงานนับล้าน
อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนั้นก็กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” ที่ทำให้ไทยและประเทศในเอเชียหันมาปฏิรูประบบการเงิน กำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น และเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารหนี้สิน
สรุป: ฟองสบู่แตกไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มของการเรียนรู้
“วิกฤตฟองสบู่แตกปี 2540” เป็นผลจากการเปิดเสรีทางการเงินโดยไร้การควบคุม การลงทุนเกินตัว และความอ่อนแอของระบบธนาคาร แม้จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว
FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิกฤตฟองสบู่แตก
- วิกฤตฟองสบู่แตกเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 เมื่อประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท - สาเหตุหลักของวิกฤตฟองสบู่แตกคืออะไร?
การเปิดเสรีทางการเงินโดยไม่มีการควบคุม, หนี้ต่างประเทศระยะสั้นจำนวนมาก, ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และการโจมตีค่าเงินบาท - ฟองสบู่แตกส่งผลกระทบต่อใครบ้าง?
ส่งผลต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาคธนาคาร ภาคธุรกิจ และประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการเงิน
4. ประเทศไทยเรียนรู้อะไรจากวิกฤตนี้?
ประเทศไทยหันมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น เพิ่มมาตรการกำกับดูแล และลดการพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศ
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์ | Gclub | จีคลับ | Sbobet | Sbobet9