เมื่อศพบอกเล่าชีวิต สุดโหดของมนุษย์ “bog bodies” ยุคก่อน ประวัติศาสตร์ เมื่อ 2,400 ปีที่ผ่านมา และเมื่อล่าสุดงานวิจัยของทีมนักโบราณคดีได้ทำการศึกษาอย่างครอบคลุมกับบ็อกบอดี้มากกว่า 1,000 ร่าง บอกเลยว่านี่เป็นการค้นพบมัมมี่ทางประวัติศาสตร์อีกหนึ่งประเภทที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อศพบอกเล่าชีวิต “สุดโหด” ของ “บ็อกบอดี้” มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อปี 1950 ได้มีครอบครัวหนึ่งที่เป็นคน Denmark ได้ทำการค้นหาถ่านหินเลน (peat) ขึ้นมาจากที่ลุ่มแถวที่พักอาศัยที่มีน้ำขัง เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง และพวกเขานั้นก็ได้พบเจอร่างไร้ชีวิตของชายวัยกลางคนท่านหนึ่งที่นอนจมอยู่ใต้น้ำตื้น ท่ามกลางพงหญ้าและมอสส์ที่งอกงามเหนือพื้นโคลนของพรุ (bog) ซึ่งเต็มไปด้วยซากพืชเน่าเปื่อยทับถมกันอยู่
ศพชายคนดังกล่าวนั้นนั้นอยู่ถูกพบว่านอนอยู่ในท่านอนขดงอตัวเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในท้องของแม่ ใบหน้าของเขานั้นดูเรียบเฉยดูสงบเยือกเย็นอย่างน่าแปลกใจ แต่ที่คอของงชายคนดังกล่าวนั้นมีเชือกหนังเส้นหนึ่งผูกเป็นบ่วงคล้องติดอยู่ด้วย และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมรีบเร่งลงพื้นที่เข้ามาตรวจสอบ
ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะบอกว่านี่ไม่ใช่ “ศพธรรมดา” อีกทั้งไม่ใช่ร่างของเหยื่อที่ถูกก่อเหตุฆาตรกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ทีมนักโบราณคดีที่อยู่ใกล้เคียงที่ติดตามมาในภายหลังลงความเห็นว่า ศพของชายวัยกลางคนดังกล่าวมีอายุเก่าแก่มากกว่า 2,400 ปี แต่กลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์โดยลายนิ้วมือและริ้วรอยบนใบหน้ายังปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
ผู้เชี่ยวชาญนั้นตั้งข้อสันนิษฐานว่าศพของชายคนดังกล่าวนั้นอาจจะถูกแช่อยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิเย็นจัด และในน้ำอาจจะมีสาร Sphagnan จากหญ้ามอสส์ ซึ่งทำให้น้ำมีสภาพเป็นกรดอย่างอ่อนและมีปริมาณออกซิเจนต่ำมากจนจุลินทรีย์ และแมลงรวมทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่อาจทำให้ศพย่อยสลายได้ เรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้คือประวัติความที่ไปที่มาของ
โทลลุนด์แมน (Tollund Man) หนึ่งในมัมมี่ที่ถูกพบเจออยู่ที่บ่อน้ำที่หนึ่งของยุโรปเหนือที่มีชื่อเสียงเปี้ยงป้างมากที่สุดนโลก เศษอาหารมื้อสุดท้ายในกระเพาะสามารถบอกได้ว่า ชายผู้เคราะห์ร้ายคนนี้มาจากยุคเหล็ก (Iron Age) และเขานั้นได้ตกเป็นเหยื่อของพิธีบูชายัญมนุษย์ โดยถูกแขวนคอเพื่อบวงสรวงเหล่าทวยเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์
และในตอนนี้ก็มีนักโบราณคดีได้ไปค้นพบมัมมี่ที่เหมือนกันมาอีกจำนวนมากมีทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และเสียหายบางส่วน รวมทั้งโครงกระดูกยุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่มาจาก “พรุ” หรือบริเวณที่ลุ่มมีน้ำขังตลอดปีแล้วกว่า 2,000 ร่าง โดยเรียกศพโบราณประเภทนี้รวมกันว่า “บ็อกบอดี้” (bog bodies) ซึ่งหมายถึงร่างมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่จมอยู่ในพรุ
และเมื่อล่าสุดงานวิจัยของทีมนักโบราณคดีนานาชาติจาก Netherlands, Sweden และ Estonia ที่ถูกนำมาเผยแพร่ตีลงในวารสาร Antiquity ได้ทำการศึกษาอย่างทั่วถึงเกี่ยวกับ “บ็อกบอดี้” มากกว่า 1,000 ร่าง ทั้งจากที่พบในแถบ scandinavia ภูมิภาคยุโรปเหนือ และยุโรปตะวันออกแถบทะเลบอลติกหลายประเทศ
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าธรรมเนียมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่จะฝังร่างของคนที่สิ้นลมหายใจไปแล้สบางคนไว้ในพรุ ในบางกรณีนั้นถือปฏิบัติติดต่อกันมาอย่างยาวนานเป็นเวลามากกว่า 7,000 ปี โดยคาดว่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคหินใหม่เมื่อราว 5,000 ปีก่อน ในดินแดนแถบสแกนดิเนเวียตอนใต้
ธรรมเนียมนี้ได้ได้ถูกนำออกมาเผยแพร่ออกไปในวงกว้างและสืบทอดกันมาจนถึงยุคเหล็กอย่างกว้างขวาง หรือนับเป็ยเวลานั้นก็น่าจะมากกว่า 3,200 ปีก่อน ซึ่งในช่วงเวลาดั่งกล่าวนั้นเป็นช่วงที่พิธีกรรมนี้ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์
นอกจากนี้หลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นยังได้อธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่า ยังคงมีการฝังศพในพรุมาจนถึงยุคจักรวรรดิโรมันและช่วงยุคกลางของยุโรป รวมทั้งช่วงเวลาที่เดินทางเข้าสู่สมัยใหม่ของมนุษยชาติหลังจากนั้นด้วย โดยบ็อกบอดี้ยุคใหม่เหล่านี้มักพบในสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และเยอรมนี
วัฒนธรรม Northern European ในยุคสมัยโบราณที่นานมาแล้วนั้นบอกว่า พรุและหนองบึงบางสถานที่นั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยปกติทั่วไปแล้วมักจะเจอกับมัมมี่หรือโครงกระดูกโบราณในพรุเพียงแห่งละ 1 ร่าง ซึ่งแสดงถึงการประกอบพิธีกรรมในช่วงเวลาวิกฤตที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เช่น
เหตุทุพภิกขภัยที่มีความร้ายกาจอาจทำให้ต้องก่อให้เกิดพิธีการบูชายัญด้วยบุคคลสำคัญ อย่างเช่น กษัตริย์หรือชนชั้นสูง เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันค่อนข้างร้ายแรง และเชื่อกันว่ามันอาจทำให้ต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แต่ถ้าว่าพรุหลายแห่งก็มีการค้นพบมัมมี่หรือโครงกระดูกจำนวนมากด้วย เช่น
Alken Enge ของเดนมาร์กเจอ bog bodies ที่เป็นโครงกระดูกที่ถูกเก็ยสะสมเอาไว้ด้วยกันมากที่สุดถึง 380 ร่าง โดยสันนิฐานว่า เป็นศพของชาวบ้านที่ถูกฆ่าให้ตายแบบหมู่ในสงครามช่วงศตวรรษที่ 1 และพรุหลายแห่งมีร่องรอยของการใช้ฝังศพซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง ซึ่งโดยเฉลี่ยจะพบบ็ bog bodies อยู่ตามพรุประเภทนี้ 2-100 ร่างด้วยกัน
ส่วนสาเหตุการตายส่วนมากนั้นมาจากเหตุการณ์ที่รุนแรง ที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการบูชายัญเสมอไป เพราะพบร่องรอยทางโบราณคดีที่หลงเหลืออยู่กับศพ อาทิ รอยสัก ของใช้ หรือเครื่องประดับของผู้ตาย ที่สามารถบอกได้ว่า บางคนอาจเป็นอาชญากรที่ถูกลงโทษประหารก็เป็นได้
Dr. Roy Van Beek ผู้นำทีมวิจัยชาวดัตช์บอกว่าพวกเขานั้นพบเจอร่างที่สามารถบอกให้ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้อย่างแน่นอน จากร่างกาย 57 ร่าง ในจำนวนนี้ 45 ร่างเสียชีวิตเพราะถูกทำร้าย แต่ก็มีบางรายที่หลักฐานบ่งบอกว่า เป็นการฆ่าตัวตายหรือประสบอุบัติเหตุจมน้ำตาย
กรณีที่ศพบางส่วนไม่กลายเป็นมัมมี่ เพราะถูกสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของพรุดูแลเอาไว้ในรูปแบบของโครงกระดูกแทนนั้น อาจเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนที่ฝั่งร่างกาย รวมทั้งความแตกต่างทางเคมีของพรุแต่ละแห่ง โดยร่างที่จมลงใต้น้ำอย่างรวดเร็วจะคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์กว่า ในขณะที่น้ำซึ่งมีค่าความเป็นด่างสูงกว่าจะไม่อาจรักษาเนื้อเยื่อของศพไว้ได้
Dr. Roy Van Beek ผู้นำทีมวิจัยกล่าวสรุปว่าพรุและพื้นที่น้ำขังที่กล่าวมานั้นนอกจากจะมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืช และสัตว์ชนิดพิเศษสูงมากแล้วยังเป็นแหล่งสะสม carbon ที่ช่วยมนุษย์ต่อกรกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันยังเป็นคลังเก็บของล้ำค่าซึ่งเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเรา
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์