ครูสาว ฉีดซิโนแวคผสมแอสตร้าฯ เสียชีวิตแล้ว หลังผ่านมา 1 วัน

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา มีการรายงานข่าวว่า ครูสาว ฉีดซิโนแวคผสมแอสตร้าฯ เสียชีวิตแล้ว หลังผ่านมา 1 วัน แฟนของครูต้องการให้ทีมแพทย์ผ่าหาสาเหตุ

ฉีดซิโนแวคผสมแอสตร้าฯ แล้วเสียชีวิต สาธารณสุขไทยเชื่อได้ไหม?

พ.ต.ต.พสิษฐ์ จุลทะการ สารวัตรฝ่ายสอบสวน ประจำสภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้รับแจ้งเหตุว่ามีผู้เสียชีวิต ภายในบ้านพักหมายเลข 71 ถ.มหาราช 1 ในเขตเทศบาล ต.ประจวบ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังได้รับแจ้งเหตุจึงได้นำทีมพร้อมกับ ด.ต.จักรพงษ์ อินทนพ ผบ.หมู่ ป.สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ และทีมแพทย์ของโรงพยาบาลประจวบ รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของมูลนิธิสว่างประจวบ เร่งเข้าตรวจสอบในเวลาถัดมา

สถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นตึกอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น มีการเปิดสถานที่เป็นโรงเรียนสอนพิเศษ ให้ชื่อว่า สถาบันพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์คิงแมทส์ สถานที่เกิดเหตุพบศพ น.ส.พงศ์ภัค ศรัทธาโสภณ วัย 39 ปี ประกอบอาชีพครูและเจ้าของโรงเรียนสอนพิเศษ ได้นอนเสียชีวิตในห้องนอน คาดว่าอาจเสียชีวิตมาแล้วราว 3 ชั่วโมง เพราะดูจากสภาพร่างกายภายนอกเริ่มผิวแข็งและผิวหนังสีเขียวไปทางคล้ำ

ทางด้านสามีของครูสาวผู้เสียชีวิต นายศักดิ์สิทธิ์ ดุจวรรณ์ วัย 44 ปี เล่าเหตุการณ์ของวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ตนและภรรยาที่เสียชีวิตได้เข้ารับการฉีดวัคซีน แอสตร้าเซนเนกา ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเป็นของซิโนแวค

หลังฉีดแอสตร้าเซนเนกา กลับมาถึงบ้านพบมีอาการข้างเคียงคือ มีอาการปวดหัวพร้อมอาการตัวร้อนและหนาวสั่นด้วย และในขณะนั้นโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ได้มีการแนะนำให้ตนและภรรยากินยาพาราเซตามอล และช่วงเช้ายังไม่มีอาการเพิ่มเติมอะไร ภรรยาของตนจึงขอเข้านอนเพื่อพักผ่อนบนห้องนอนก่อน

ส่วนตนเวลานั้นมีอาการปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อย และได้ลงมาด้านล่างเพื่อทำงานและดูและลูกสาวทั้งสอง ถัดมาช่วงเย็นวันเดียวกันภรรยาได้มีการอาเจียนเยอะมากกว่าปกติ เวลาต่อมา 19.00 น. ขึ้นไปส่องดูภรรยาพบว่าได้เสียชีวิตลงแล้ว

สามีผู้ตายจึงร้องขอเพื่อภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“ผมขอให้แพทย์ผ่าชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตแฟนให้แน่ชัด แฟนผมมีโรคประจำตัวคือความดัน และกินยาความดันอยู่ ก่อนฉีดแพทย์ก็ยืนยันแล้วว่า ไม่มีผลต่อการฉีดวัคซีน แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัว ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจในวัคซีน และความเชื่อมั่นในระบบการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขไทย”