Friday, 31 October 2025

โรคพุ่มพวง (SLE) โรคแพ้ภูมิตัวเองที่ไม่ควรมองข้าม อันตรายแค่ไหน รักษาได้ไหม

31 Oct 2025
208

โรคพุ่มพวง” หรือชื่อทางการว่า โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus – SLE) เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแทนที่จะป้องกันร่างกาย กลับ “ทำลายเนื้อเยื่อของตัวเอง” ส่งผลต่อหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ข้อ ไต หัวใจ และสมอง แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ SLE เป็นโรคที่รักษายาก ต้องดูแลตลอดชีวิต และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

สล็อต xo Slotxo

โรคพุ่มพวงเกิดจากอะไร

สาเหตุของโรคพุ่มพวงยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่แพทย์พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ ได้แก่

1. การใช้ยาและสารเคมีบางชนิด

ยาบางกลุ่ม เช่น ยาควบคุมความดันโลหิต ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม อาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากเกินไป จึงพบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

โรคพุ่มพวง (SLE) โรคแพ้ภูมิตัวเอง อาการ สาเหตุ และการรักษาที่ควรรู้

3. พันธุกรรม

หากมีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง จะมีโอกาสเป็นโรคพุ่มพวงมากกว่าคนทั่วไป

4. ปฏิกิริยาต่อแสงแดด

ผู้ที่มีผิวไวต่อแสง เมื่อโดนรังสีอัลตราไวโอเลตอาจเกิดการอักเสบที่ผิวหนังและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำร้ายตัวเอง

ทำไมถึงเรียกว่า “โรคพุ่มพวง”

ชื่อ “โรคพุ่มพวง” มาจาก พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังของไทย ผู้ซึ่งป่วยเป็นโรคนี้และเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคในปี พ.ศ. 2535
เหตุการณ์นี้สร้างความตระหนักและทำให้ชื่อ “โรคพุ่มพวง” กลายเป็นชื่อเรียกติดปากของโรค SLE ในประเทศไทย

อาการของโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวงมีอาการหลากหลาย และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นอวัยวะล้มเหลว

อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ผื่นแดงบริเวณใบหน้าเป็นรูป “ผีเสื้อ” 
  • ผื่นขึ้นตามแขน ขา หรือหลังเมื่อโดนแดด 
  • อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ 
  • ปวดข้อ ข้ออักเสบ โดยเฉพาะข้อมือและหัวเข่า 
  • ซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ 
  • แผลในปากหรือจมูก 
  • ไตอักเสบ (ตรวจปัสสาวะพบโปรตีน) 
  • อาการทางระบบประสาท เช่น ชัก หรือความจำเสื่อม 

การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยยืนยัน

  • พบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (ANA) 
  • ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (Anti-dsDNA) 
  • พบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี 

หากมีอาการเข้าข่าย 4 ข้อขึ้นไป ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคพุ่มพวง

ผู้ป่วยโรคพุ่มพวงอาจเกิดความผิดปกติได้ในหลายระบบของร่างกาย เช่น

1. หัวใจและสมอง

  • หลอดเลือดหัวใจตีบ 
  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 
  • หลอดเลือดสมองอุดตัน 
  • ความจำเสื่อมจากการอักเสบของสมอง 

2. ระบบเลือด

  • ภาวะโลหิตจาง 
  • เกล็ดเลือดต่ำ 
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด 

3. ระบบไตและปอด

  • ไตอักเสบเรื้อรังหรือไตวาย 
  • เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ทำให้หายใจลำบาก 

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงรุนแรง หากไม่ดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องอาจถึงแก่ชีวิตได้

โรคพุ่มพวงรักษาได้ไหม

แม้โรคพุ่มพวงจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถ ควบคุมอาการและชะลอการลุกลามของโรค ได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการรักษา

  • ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ หรือยากลุ่มไฮดรอกซีคลอโรควิน 
  • ยาต้านการอักเสบ เพื่อลดอาการปวดข้อและบวม 
  • ยาควบคุมความดัน สำหรับผู้ที่มีภาวะไตอักเสบ 
  • การติดตามอาการสม่ำเสมอ เพื่อปรับยาให้เหมาะสม 

การดูแลตัวเองของผู้ป่วย

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดด SPF สูง 
  • พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ 
  • พบแพทย์ตามนัดและไม่หยุดยาเอง 

โรคพุ่มพวง (SLE) โรคแพ้ภูมิตัวเอง อาการ สาเหตุ และการรักษาที่ควรรู้

โรคพุ่มพวงป้องกันได้ไหม

โรคพุ่มพวงเป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
แต่เราสามารถ ลดความเสี่ยง ได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดดจัด ความเครียด และการใช้ยาที่ไม่จำเป็น

ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคพุ่มพวง

  1. อย่าหยุดยาหรือปรับยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ 
  2. หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในช่วงที่โรคยังไม่สงบ 
  3. หมั่นตรวจร่างกายประจำปีและตรวจเลือดตามแพทย์สั่ง 
  4. หากมีไข้ ปวดข้อ หรือผื่นแดงกำเริบ ควรรีบพบแพทย์ทันที 

สรุป: โรคพุ่มพวงไม่ได้น่ากลัว หากเข้าใจและดูแลอย่างถูกวิธี

โรคพุ่มพวง (SLE) สุขภาพ อาจเป็นโรคที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ และลดความรุนแรงของโรคได้มาก

สิ่งสำคัญคือ “อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนของร่างกาย” และรีบเข้ารับการตรวจเมื่อมีอาการเข้าข่าย เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคพุ่มพวง

Q: โรคพุ่มพวงติดต่อได้ไหม?
A: ไม่ติดต่อครับ เป็นโรคจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้

Q: โรคพุ่มพวงหายขาดได้หรือไม่?
A: ไม่สามารถหายขาดได้ แต่ควบคุมอาการให้อยู่ในระดับปกติได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่อง

Q: ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายจริงไหม?
A: ใช่ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานเกินปกติ

Q: คนเป็นโรคพุ่มพวงตั้งครรภ์ได้ไหม?
A: ทำได้แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และควรตั้งครรภ์ในช่วงที่โรคสงบเท่านั้น