ยายรับตีเพราะรัก หลังหลานหนีขอความช่วยเหลือ ลั่นโดนทารุณร่วม 2 ปี

ข่าวทั่วไทย รายงานล่าสุด สาวลูกครึ่งหนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านคนอื่น เพราะโดนฟาดจนหัวโน ยายรับตีเพราะรัก โดยก่อนหน้านี้เด็กบอกว่าถูกกล่องปลั๊กไฟสามตาทำร้าย บางครั้งถูกหนังสติ๊กยิงตัวเขียวช้ำไปทั้งตัว ถูกกระทำแบบนี้มาตลอด 2 ปีเต็ม

สาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ วัย 17 ปี หนีไปอยู่บ้านผู้ใหญ่บ้าน บอกทนไม่ไหว โดนตีเขียวช้ำ ยายรับตีเพราะรัก บางครั้งเป็นหนังสติ๊ก สายไฟ ล่าสุดกล่องปลั๊กไฟฟาดหัว

กรณี เด็กสาวโดนทำร้ายจากผู้ปกครองกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเจ้าตัวหนีออกจาบ้าน ส่วนยายรับตีเพราะรัก เพราะตั้งแต่ที่หลานสาวโตขึ้นมาก็แอบหนีไปเที่ยวจนดึกดื่นไม่ยอมกลับบ้าน ไม่เคยช่วยงานบ้าน เวลาบอกกล่าวเตือนอะไรก็เถียงกลับตลอด ไม่เคยรับฟังจำใจตีและห่วงที่หนีออกจากบ้านแบบนี้

เมื่อ 21 กรกฎาคม 2565 นักข่าวได้รับการร้องเรียนมาจากชาวบ้านตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องมีอยู่ว่าเด็กสาวรายหนึ่งถูกผู้เป็นยายทำร้าย โดยเป็นการกระทำที่ทำมาตลอด 2 ปี ผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่มาสำตรวจโดยมีปลัดอำเภอและผู้ใหญ่บ้านมาร่วมดูสถานการณ์ด้วย

นักเรียนหญิงชั้น ม.5 วัย 17 ปี กำลังศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด เด็กสาวเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ แม่เป็นคนไทย พ่อเป็นคนอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้เธอได้เดินทางมาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขออาศัยอยู่ด้วย ผู้ใหญ่บ้านที่ว่าเป็นของอีกหมู่บ้านหนึ่ง

นักเรียนหญิงลูกครึ่ง เล่าว่า เธอได้มาอาศัยอยู่กับผู้เป็นยาย เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน แม่ของเธอเดินทางไปทำงานที่เชียงใหม่ พ่อก็กลับไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทุกๆสิ้นเดือนพ่อและแม่จะโอนเงินให้มาใช้จ่ายตลอด อย่างไรก็ตามเด็กสาวให้การยืนยันว่าเจ้าตัวถูกยายแท้ๆทำร้ายมาตลอด 2 ปี  ส่วนมากยายชอบเอามือมาทุบตีเธอ มีบางครั้งที่ยายเอาหนังสติ๊กมายิงใส่ตัวเธอจนช้ำไปทั่ว ตอนนี้ก็ยังมีร่องรอยเขียวบนตัวอยู่เลย

ตลอดระยะเวลาที่เธออาศัยอยู่กับผู้เป็นยายรู้สึกทรมานทั้งกายใจ ล่าสุด 3-4 วันที่แล้ว ยายทำร้ายโดนหยิบเอาหนังสือและกล่องปลั๊กไฟ 3 ตา ฟาดเข้าที่บริเวณศีรษะ และกล่องปลั๊กไฟนั้นได้แตกพัง ทำให้หัวของเธอโนนูนขึ้นมา สาเหตุที่ทำให้ยายตีเนื่องจากเธอกลับบ้านมาช้า เธอไปเล่นกับเพื่อน หลังจากเกิดเรื่องครั้งล่าสุดเธอตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับขออาศัยอยู่บ้านด้วยชั่วคราว สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เพราะก่อนหน้าที่จะมายายขู่กับเธอว่าจะให้สากตีเธอจนตาย คำพูดหนีทำให้เธอรู้สึกกลัวมาก ไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว ไม่อยากอยู่กับยายาอีกต่อไปอีก ไม่สามารถทนให้ยายทำร้าย ขอให้หน่วยงานหรือใครก็ได้สามารถช่วยเธอด้วย

นางสาวอณุชชยา ปานะโปย ผช.ผญบ. ได้ออกมากล่าวว่า ตอนเกิดเหตุครั้งล่าสุด ได้ยินเสียงเด็กสาวร้องออกมาอย่างเสียงดัง ทีแรกคิดว่าเป็นการทะเลาะกันในครอบครัวปกติ ทำให้ไม่อยากเข้าไปยุ่ง จนกระทั่งได้มารู้อีกทีว่าเด็กสาวได้หนีออกจากบ้านไปแล้ว โดยเดินทางไปขออาศัยอยู่บ้านผู้ใหญ่บ้านที่อยู่คนละหมู่บ้าน เจ้าตัวบอกถูกยายทำร้ายจึงต้องเดินทางไปสอบถามกับยายด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริงไหม? เพราะเบื้องต้นต้องให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย

ทางด้านปลัดอำเภอด้านความมั่นคงของอำเภอบ้านกรวด นายชาญณรงค์ พงษ์สุวรรณ เผยว่าหลังจากที่ทราบข่าว เร่งลงพื้นที่มาพบเด็กสาวถามข้อมูล ถามชาวบ้านข้างเคียง และสอบถามผู้นำหมู่บ้านด้วยว่าเรื่องที่เด็กถูกยายแท้ๆทำร้ายและหนีออกจากบ้านไปอาศัยบ้าน ผญบ.คนละมหมู่บ้านเป็นจริงเท็จแค่ไหน

เมื่อเด็กบอกว่าโดนยายทุบตีทำร้ายยันเป็นเรื่องจริง จึงดำเนินการมอบหมายงานให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูล พร้อมกับรายงานต่อ ผบก. ก่อนที่จะประสานงานให้เจ้าหน้าที่จากสังคมฯจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมลงพื้นที่มาสอบข้อเท็จจริง เร่งช่วยเหลือตามลำดับ อย่างไรก็ตามจะมีการสอบสวนยายของเด็กด้วย เพื่อให้ความยุติธรรมและได้ข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าไปพบและสอบถามข้อมูลกับยายของเด็กสาว หรือ นางยาว วัย 58 ปี ยายเริ่มเล่าว่า เธอเลี้ยงหลานสาวคนนี้มาตั้งแต่พ่อแม่เขาเลิกรากัน ก่อนหน้าไม่เคยทุบตีหลานมาก่อน แต่พอหลานสาวขึ้นชั้นมัธยมปลายมานี้ เริ่มกลับบ้านดึกมาก ออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อย ไปเที่ยวกลางคืน ทุกครั้งที่ไปไหนก็ไม่ค่อยบอกกล่าวให้รู้ เขาไม่คิดจะกลับมาบ้านช่วยเหลืองานเลย เวลาบอกตักเตือนอะไรไปก็จะเถียงกลับมา

ยายเล่าต่อว่าหลานคนนี้ไม่เชื่อฟังคำสอน บอกอะไรไม่ได้ และมากไปกว่านั้นยายก็ถูกหลานด่ากลับมาด้วย หลายครั้งแอบหนีไปเที่ยวกลางคืน ทำให้ยายตัดสินใจลงมือตีเสียบ้าง บอกแล้วไม่ฟังก็ตีอบรมสั่งสอน ไม่เคยคิดไม่ดีหรืออยากทำร้ายหลาน บางครั้งเคยเอาสายไฟไปฟาดตีหลาน ทุกอย่างที่ยายทำไปก็เพราะรักคำเดียว แค่เป็นห่วงจะเสียคน ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายร่างกายเขาจริงๆ ตอนนี้หลานหนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านกับคนอื่น เรื่องนี้ทำให้ยายไม่สบายใจ สุดท้ายก็ไม่สามารถบังคับอะไรใครได้ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี