นักวิจัยประสบความสำเร็จในการค้นพบ วิธีแฮกสมองแมลงวัน

วิธีแฮกสมองแมลงวัน พร้อมวิธีควบคุมการขยับของปีกพวกมันผ่านรีโมตระยะไกล นี่ไม่ใช่เรื่อง “เพ้อเจ้อ” แต่มันคือ “เรื่องจริง” ที่นักวิจัยจาก Rice University ประสบความสำเร็จในการศึกษาสัตว์น่ารักแล้ววิธีการแฮกเข้าไปในสมองของแมลงวันเมื่อไม่นานมานี้

วิธีแฮกสมองแมลงวัน พร้อมวิธีควบคุมการขยับของปีกพวกมันผ่านรีโมตระยะไกล

จากการรายงานของวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Materials  ชื่อดังนั้นกล่าวว่า ทีมนักวิจัยที่ร่วมมือกันศึกษางานวิจัยชิ้นนี้นั้นมี นักวิศวะพันธุกรรมศาสตร์, นักวิศวะไฟฟ้า และนักพัฒนานาโนเทคโนโลยี นั้นได้ประสบความสำเร็จในการศึกษาและการทดลองฝังยีนส์ที่กระตุ้นความร้อนในสมองแมลงวัน เพียงแค่พวกเขานั้นกดหนึ่งคลิ๊กผ่านรีโมตระยะไกล ก็สามารถบังคับให้แมลงวันกางปีกได้ตามสั่ง เหมือนกับว่าเราสั่งสุนัขยกมือยังไงยังงั้น ซึ่งทีมนักวิจัยเชื่อว่าการทดลองของพวกเขาในครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในการศึกษาการทำงานของสมองมนุษย์ และมันนั้นอาจนำพาไปสู่การรักษาโรคทางระบบประสาท หรืออาจคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มันสามารถทำงานกับสมองของมนุษย์ได้โดยตรง  “จาคอบ โรบินสัน หนึ่งในนักวิจัยในโครงการดังกล่าววงการวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์นั้นพยายามที่จะค้นหาเครื่องมือที่มีความแม่นยำและมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพน้อยที่สุด เพื่อศึกษาสมองและรักษาความผิดปกติด้านระบบประสาทของมนุษย์”

หนึ่งในทีมวิจัยใน Defense Advanced Research Projects Agency  ที่ได้รับทุนจากกองทัพสหรัฐฯ บอกเอาไว้ว่า จาคอบคล้ายกันกับผลงานของทีมเขาและ “จอกศักสิทธิ์” สำหรับวงการเทคโนโลยีทางระบบประสาท เพราะความสำเร็จของพวกเรานับว่าเรื่องที่สำคัญมากกับเทคโนโลยีทางระบบประสาท เนื่องจากคำสั่งที่ได้จากรีโมตนั้นรวดเร็วเทียบเท่ากับความเร็วโดยธรรมชาติของสมอง”

สำหรับอีกโปรเจคท์ที่จาคอบทำร่วมกับ Defense Advanced Research Projects Agency   มีชื่อว่า Magnetic, Optical, Acoustic Neural Access และโปรเจคท์ที่ว่านั้นก็กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนาเฮดโฟนที่เมื่อสวมใส่เข้าไปแล้ว จากนั้นคนทั้งสองคนนั้นก็จะสามารถรับรู้ความคิดของกันและกันได้ในทันที เหมือนกับเทคนิคการอ่านใจของ “จีน เกรย์” ในภาพยนตร์เรื่อง The X-Men อย่างไรก็ตาม “จาคอบ” ก็ได้บอกความจริงบางอย่างว่าในตอนนี้พวกเขานั้นยังไม่สามารถเข้าใกลจุดหมายที่พวกเขาตั้งเอาไว้ เพราะตอนี้พวกเขายังห่างไกลความเป็นจริง เพื่อเข้าไปถึงยังจุดที่สมองของมนุษย์เราทำงาน ซึ่งพวกเราอาจต้องลดช่องว่างในการสื่อสารให้เหลือยเพียงไม่กี่ 0.01 วินาที”