สุดเฮี้ยนคน “ตาย”ไปบอกให้มาดู “ศพ” ทำชาวบ้านขวัญผวา

 ข่าวทั่วไทย สุดเฮี้ยน!! คนตายไปบอกให้มาดูศพ หลังนอนเสียชีวิตอย่างเดียวดายหลายวันภายในบ้านคนเดียว ทำชาวบ้านขวัญผวา เจ้าหน้าที่คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จากการสอบถามเพื่อนบ้านเบื้องต้นนั้นบอกว่าผู้ตายนั้นอาศัยอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง เลยไม่มีใครทราบว่าเขาเสียชีวิตเพราะอะไร

คนตายไปบอกให้มาดูศพ หลังนอนเสียชีวิตอย่างเดียวดายหลายวัน ภายในบ้านคนเดียว

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ได้รับแจ้งเหตุจากประชาชนมราอาศัยอยู่พื้นที่ตำบลคลองบางปลากดว่า มีผู้เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านพักไม่มีเลขที่ หมู่ 10 ซอยช้อยเพ็ง ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ  ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็รีบมุ่งหนน้าที่ยังจุดเกิดเหตุทันที เมื่อเดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุพบว่สเป็นบ้านพักที่เป็นสังกะสียกมีพื้นชั้นเดียว ภายในบ้านพบร่างของชายคนหนึ่งทราบชื่อคือ “นายวงษ์ศิลป์ โพธิ์ดำ” อายุ 60 ปี สภาพนอนหงาย สันนิฐานว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จากการตรวจสอบเบื้องต้นนั้นพบว่า ตามร่างกายของผู้เสียชีวิตนั้นไม่มีบาดแผล และไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด

จากการสอบถามเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตนั้นได้ความว่า เธอคือเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตโดยปกติแล้วผู้เสียชีวิตนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง และเขานั้นมีอาชีพเป็นพนักงงานโรงงานแห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆนี้ ในย่านพระสมุทรเจดีย์ ก่อนที่เขานั้นจะเสียชีวิตเขานั้นเป็นคนที่ติดสุราอย่างหนัก ชนิดที่ว่าเขาจะต้องได้ดื่มทุกวัน ซึ่งตนเองก็คอยเอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้กินอยู่เป็นประจำ เจอผู้เสียชีวิตครั้งสุดท้ายก็คือ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (20 สิงหาคม 2565) แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เจอผู้ตายอีกเลย

จนกระทั่งมาวันนี้ในวันที่เธอนั้นเลี้ยงหลานอยู่แล้วกำลังจะนอนพัก ในตอนที่เธอกำลังจะหลับเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังเข้ามาในหูบอกเธอว่า “นายโหวง ตายแล้ว” เธอเลยรีบลุกขึ้นมาแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปเรียกให้สามีเข้าไปผู้ที่บ้านของผู้เสียชีวิต แต่สามีไม่ได้ไป

แล้วเธอเลยได้เข้าไปเองและก็ได้ไปเปิดมุ้งดูก็เห็นว่าผู้เสียชีวิตนั้นนอนนิ่งๆเหมือนหลับอยู่บนที่นอน แต่พอไปดึงแขนและเขย่าดูก็พบว่าเขานั้นตัวแข็งไปแล้ว เลยรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปลงบันทึกประจำวัน แล้วส่งมอบร่างผู้เสียชีวิตให้มูลนิธินำส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป