ประวัติศาสตร์ หินอัลนัสลา Al Naslaa เกิดขึ้นตาม “ธรรมชาติ” ได้อย่างไร? ในประเทศ Saudi Arabia แล้วทำไมมันถึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้ แถมยังมีรอยสลักอายุหลายนับไม่ได้ติดอยู่ แถมว่ามันยังมีความสูงใหญ่เกือบ 10 เมตร มีความกว้างเกือบ 8 เมตร
หินอัลนัสลา Al Naslaa เกิดขึ้นตาม “ธรรมชาติ” ได้อย่างไร? แถมยังมีรอยสลักอายุหลายพันปีติดอยู่
ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ Oasis ที่มีชื่อว่า Taymar มีสิ่งนน่าอัศจรรย์ของโลกอยู่และเจ้าสิ่งนั้นมันก็มีชื่อว่า “ก้อนหินอัลนัสลา” (Al Naslaa) และต้องขอบอกเลยนะว่าหินก้อนนี้มันมีความสูงเกือบ 10 เมตร กว้างเกือบ 8 เมตร และยังมีรอยสลักอายุหลายพันปีนับตั้งแต่ยุคหิน
สิ่งที่เรานั้นกล่าวมาเมื่อตอนต้นนั้นยังไม่ใช่อะไรที่พิสดารเมื่อนำมาเทียบกับ “รอยตัด” แบบเนียนแสนเนียนอย่างกับมีใครเอา “แสงเลเซอร์” ไปผ่ามันออกจากกัน และถ้ามีใครออกมาบอกว่าเจ้าหินก้อนนี้ถูกสร้างขึ้นมาหรือมีคนเอามันมาวางไว้คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะหินนี้มันมีฐานเล็กๆ อยู่ทั้งสองฝั่งของรอยตัดที่ดิน ดังนั้นคงไม่มีใครเอามาวางแน่ๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกใจ conspiracy theorist นักทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อเรื่องของ “มนุษย์ต่างดาว” เป็นอย่างมาก เพราะคนกลุ่มนี้จำเป็นจะต้องบอกเหมือนกันทั้งหมดว่า รอยตัดสุดเนี๊ยบที่เราเห็นนี้อยู่ในยุคก่อนที่มนุษย์จะมีอารยธรรมมันจะเป็นฝีมือใครได้ นอกจากมนุษย์ต่างดาวแต่เอาเข้าจริงต้องบอกว่า Al Naslaa นั้นมันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยามากมายเลย ว่าเจ้าสิ่งเหนือธรรมชาตินี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนี้
1.Al Naslaa สุดพิสดารนี้บังเอิญมากจริงๆที่ไปโผล่อยู่ที่รอยแยกเปลือกโลกพอดิบพอดี และพอเปลือกโลกขยับมันก็เลยส่งผลทำให้หินมันแยกออกจากกัน และในช่วงแรกๆนั้นรอยแตกนี้มันก็ไม่ได้เนียนมากมายขนาด แต่พอลมพัดทรายผ่านเป็นพันปีก็เหมือนหินมันโดนกระดาษทรายถูจนทำให้เกิดรอยแยก จนคล้ายรอยตัดแบบเนียนๆ
2.เจ้า Al Naslaa มันอาจจะมีรอยแยกอยู่แล้วที่ข้างใน พอถึงเวลามันก็แตกออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าคำอธิบายนี้ทำให้หลายคนที่เคยเห็นการแตกของ Al Naslaa ที่รอยแตกมันเรียบสนิทก็คงจะถึงบางอ้อ ถ้ามันเป็นไปได้กับหินก้อนเล็กๆ ฉะนั้นหินก้อนใหญ่ก็เป็นได้ไม่ต่างกัน
3.Al Naslaa นี้อาจเคยอยู่มาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง (ขอสันนิฐานข้อนี้เป็นไปได้ เพราะพื้นที่ทะเลทรายหลายที่ก็เคยถูกหิมะปกคลุมในบางช่วงของประวัติศาสตร์) แล้วหินในครั้งแรกมันอาจมีร่องที่ไม่ใหญ่มากที่ทำให้น้ำไหลเข้าไป พอน้ำเข้าไปแล้วแข็งตัวมันก็ขยาย จึงทำให้หินแตกได้เช่นกัน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ลมและทรายก็จะพัดพาจนทำให้มันเรียบในที่สุด
ส่วนฐานเล็กๆ นั้นสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ว่าลมน่าจะแซะเข้าไป เพราะลมที่ทะเลทรายจะพัดแรงมากกว่าข้างบนอยู่แล้ว ส่งผลให้หินจำนวนมากมีฐานเล็กๆ ซึ่งสามารถพบปรากฏการณ์ในทะเลทรายแบบนี้ได้ทั่วไปและมันเรียกว่า “หินเห็ด” เนื่องจากมันมีหัวโตและฐานเล็กเหมือนเห็ด และฐานที่เล็กๆ นี้เกิดจากลมเซาะนี่เอง
คำอธิบายทั้งหมดที่เรานำมาให้ดูนั้นก็น่าจะอธิบายให้ทุกคนเขข้าได้แล้วพอประมาณว่ามันไม่ได้เกิดจากมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติปกติที่เราทำความเข้าใจได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนช่างสงสัยก็ยังรู้สึกถึงอีกหนึ่งความเป็นไปได้ ซึ่งก็คือความสงสัยว่า หรือจริงๆ รอยแยกของหินก้อนนี้มันเป็นฝีมือมนุษย์?
เรื่องที่ว่าก็สามารถเป็นไปได้ เพราะมนุษย์โบราณเองก็อาจจะทำให้หินมันแตกออกได้เหมือนกับคนสมัยนี้ แต่ถ้าว่ามันก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้เนียนขนาดนี้ได้ง่ายๆ ต้องใช้ความพยายามและอาจใช้กำลังคนมากมาย นั่นก็นำมาสู่คำถามว่า แล้วคนโบราณจะทำไปทำไมกัน? ดังนั้นมนุษย์ก็เลยยังเชื่อในคำอธิบายพื้นฐานว่ามันคือสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติมากกว่า
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์