รู้หรือไม่ว่า!? โรคกระเพาะอาหาร Gastritis แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากอะไร และมันก็ไม่ได้เป็นเพราะกินข้าวไม่ถูกช่วงเวลา อดข้าวอดอาหารกินของเผ็ดๆ จนทำให้เรามีปัญหา สุขภาพ อย่างที่เราเข้าใจกัน สำหรับใครที่ยังคงเชื่อแบบนั้นอยู่บอกเลยว่าให้เปลี่ยนความคิดแล้วมาดูสาเหตุที่แท้จริงไปพร้อมกันได้เลยที่ด้านล่างนี้
โรคกระเพาะอาหาร ใช่ว่ามีสาเหตุมาจากการ “กินข้าวไม่ตรงเวลา”
เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยโตมากับคำสอนของคนโบราณมาตั้งแต่เด็ก หรือแม้กระทั้งอ่านไปเจอในหนังสือเรียนว่า “กินข้าวไม่ตรงเวลา อาจจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคกระเพาะ” หรือคำบอกกล่าวที่บอกว่า “อย่าอดข้าว เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ” แต่รู้ไหมว่าที่จริงแล้ว “โรคกระเพาะอาหาร” ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา ซึ่งนี่อาจจะเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครหลาย ๆ
เพราะว่า โรคกระเพาะ (Gastritis) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบ inflammation หรือ Sensitizing Reaction / Irritation รอบๆ stomach lining ซึ่งอาการดังกล่าวนั้นยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแบบหายเร็วหายช้า สามารถรักษาให้หายด้วยการกินยาตามที่หมอจัดให้ แต่ถ้าการเกิดอักเสบแบบเรื้อรัง ก็จะทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล จนเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ อย่างเช่น
- แผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด
อาการของโรคกระเพาะอาหาร
เบื้องต้นใครที่เคยเป็นจะทราบว่ามันจะปวดที่ท้องข้างบนและมีอาการอาหารไม่ย่อยร่วมด้วย หลังจากกินอาหารก็จะรู้สึกท้องอืด จุกแสบ แน่นท้อง เรอบ่อย คลื่นไส้อาเจียน แต่อาการดังกล่าวนั้นไม่ได้ร้ายแรงถ้าไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมาจากแผลที่เกิดขึ้นในกระเพาะอาหารทำให้กระเพาะบางกระเพาะทะลุมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร และอาจเสียชีวิตได้
ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้นต่างบอกกล่าวกันต่อๆมาว่าโรคนี้นั้นเกิดขึ้นจากการที่เรากินข้าวไม่ตรงเวลา หรือการไม่กินข้าวบางมื้ออาหาร ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่เราควรต้องกินข้าวแต่ในกระเพาะไม่มีอาหาร ทำให้น้ำย่อยที่มีสภาวะเป็นกรดนั้นไปย่อยเอาผนังกระเพาะอาหารแทน จนเกิดการอักเสบ เป็นแผล และกลายเป็นโรคกระเพาะอาหารในที่สุด
แต่ในทางการแพทย์นั้นไม่ได้บอกเอาไว้แบบนั้นแต่บอกเอาไว้ว่าในกระเพาะอาหารของเรานั้นจะมีความเป็นกรดสูง เพราะร่างกายของเรานั้นจะสร้างเยื่อเมือกเคลือบผนังกระเพาะขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ป้องกันเยื่อบุกระเพาะอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เป็น โรคกระเพาะ นั้นมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า เอช ไพโลไร (H. pylori)
เมื่อกระเพาะอาหารติดเชื้อ Helicobacter pylori ขึ้นมา ทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และ mucosa ที่เคลือบกระเพาะอยู่มีปัญหา กระเพาะต้องย่อยอาหารช้าขึ้น ผิวกระเพาะอาหารจึงเกิดการอักเสบตามมาด้วย และเมื่อเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori เข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหาร เชื้อจะแปรสภาพตัวเองให้มีสภาวะเป็นเบส (ด่าง)
ส่งผลให้เชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ในกระเพาะที่มีสภาวะเป็นกรดได้ จากนั้นเชื้อจะไปชุมนุมอยู่แถวๆ stomach lining ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดอาการอักเสบได้ จนทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น จนกลายเป็น โรคกระเพาะอาหาร ซึ่งเชื้อ Helicobacter pylori นี้ สามารถพบปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำดื่ม
แต่เชื้อดังกล่าวนั้นไม่ได้บอกเอาไว้ว่ามันอยู่ในอาหารและน้ำประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยเชื้อดังกล่าวนั้นเพิ่งได้รับการยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกันกับ โรคกระเพาะ เมื่อปี 2005 โดยหมอเชื้อชาติออสเตรเลีย 2 คน คือ นายแพทย์แบรร์รี่ เจ. มาร์แชล (Barry J. Marshall) และนายแพทย์เจ. โรบิน วาร์เรน (J. Robin Warren)
ทำให้การค้นพบนี้ทำให้หมอทั้ง 2 ได้รับรางวัล Nobel Prize in Physiology or Medicine ในปีเดียวกันนั่นเอง ดังนั้น ถ้าพูดถึงคนที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ประมาณ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ล้วนติดเชื้อมาจากแบคทีเรียดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่ถูกบอกเอาไว้ว่าทำให้เกิด โรคกระเพาะ ได้ด้วยเช่นกัน คือ
- การติดเชื้อราบางชนิด
- พฤติกรรมสุขภาพ
- การสูบบุหรี่
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- การกินยาที่ฤทธิ์กัดกระเพาะ
- (ยาที่แพทย์สั่งให้กินหลังอาหารทันที)
- กลุ่มยาแก้อักเสบหรือยาแก้ปวด
- ยาสเตียรอยด์
ซึ่งกลุ่มยาดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มยาที่มีผลทำให้เกิด stomach ulcer และลำไส้บางลงได้ ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการป้องกันกรดที่จะหลั่งออกมาย่อยอาหาร ส่วนความเชื่อที่ว่าการกินข้าวไม่ตรงเวลาหรือการอดข้าวอดน้ำทำให้เกิด โรคกระเพาะ นั้นน่าจะมาจากอาการกำเริบไม่ว่าจะเป็น
- การกินอาหารรสจัด
- กินยาที่กัดกระเพาะ
- ดื่มแอลกอฮอล์
- สูบบุหรี่
- รวมถึงกินอาหารไม่ตรงเวลา
ในขณะที่มี stomach ulcer ทำให้น้ำย่อยซึ่งมีสภาพเป็นกรดหลั่งไปโดนบริเวณที่เป็นแผล จึงทำให้มีอาการปวดแสบ จนเข้าใจผิดไปว่าโรคเกิดจากการที่น้ำย่อยในกระเพาะกัดกระเพาะ
การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหาร
ปกติแล้วถ้าหากคนไข้มีอาการคล้ายกับจะเป็น โรคกระเพาะอาหาร ก็ควรไปพบหมอเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยต่อไป ซึ่งเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันจะมีวิธีตรวจอยู่หลายแบบ เช่น
1.การตรวจด้วยวิธีกินยา แล้วพ่นลมหายใจ
2.ตรวจเลือด
3.ตรวจอุจจาระ
4.การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร
- เพื่อดูแผลและเก็บเยื่อจากกระเพาะอาหาร
5.เอกซเรย์กระเพาะอาหาร
การรักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนมากนั้นจะได้รับยาฆ่าเชื้อมากิน เช่น
- ยาคลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin)
- ยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole)
- ยาอะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin)
ซึ่งถ้าหากกินยาให้ครบตามที่หมอจัดให้โดยทั่วไปจะรักษาโรคดังกล่าวให้หายขาดได้ แต่ถ้าแผลในกระเพาะยังไม่หาย ก็หมายความว่ายังมีเชื้อหลงเหลืออยู่ และถ้ามีสิ่งเร้าไปกระตุ้น ก็ทำให้อาการกำเริบได้ แต่ถ้าหากอาการกระเพาะเป็นแผล แพทย์จะจ่ายยาที่ลดการหลั่งกรด รวมถึงยาที่ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารร่วมด้วย
การป้องกันโรคกระเพาะอาหาร
อย่างที่อธิบายให้ฟังเมื่อตอนต้นว่าสาเหตุหลักของ Gastritis นั้นมาจากเชื้อ Helicobacter pylori ที่ปะปนมากับอาหาร ดังนั้นการกินอาหารที่สะอาด เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราไม่อาจรู้ได้ว่าในร่างกายเรามี Helicobacter pylori อยู่หรือไม่ ก็ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกินอาหารที่จะไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ
เพื่อที่จะไม่เป็นการกระตุ้นให้กระเพาะอาหารทำงานขัดข้อง การกินข้าวกกินน้ำให้ตรงเวลา และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดก็อาจจะมีส่วนช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ รวมถึงงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ที่สำคัญ อย่าซื้อยากินเอง โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะอย่างรุนแรง
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์