ที่ใดมีรักที่นั่นมีเทพ!! พาไปทำความรู้จัก 5 เทพแห่งความรัก

พาไปทำความรู้จัก 5 เทพแห่งความรัก จาก “ปกรณัม” เรื่องเล่าในตำนานรักสุด “โรแมนติก” จากทั่วทุกมุมโลกใครที่อยากสมหวังอยากมีคนรักต้องห้ามพลาด ประวัติศาสตร์เพราะที่ใดมีรักที่นั่นมีเทพ!! ว่าแต่จะมีเทพองค์ไหนบ้างเดี่ยวตามไปดูพร้อมกันได้เลยทที่ด้านล่างนี้

5 เทพแห่งความรัก จากเรื่องเล่าในตำนานรักสุด “โรแมนติก” ทั่วทุกมุมโลก

เทพแห่งความตายในแต่ละสถานที่ในแต่ละประเทศแสดงออกถึงความเป็นอยู่ของสังคมนั้นๆ เรื่องของความตาย แล้วเช่นนั้น เทพหรือเทพีแห่งความรัก จากแต่ละตำนานปกรณัม เรื่องเล่า จะแสดงถึงความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตใดต่อความรักได้บ้าง? เดี่ยวในวันนี้เราจะพาทุกคนไปชม 5 เทพีแห่งความรัก ที่ด้านล่างนี้

1.อีรอส (Eros)

ไม่น่าแปลกใจที่เทพแห่งความรักของ Greek Mythology จะเป็นหนึ่งในเทพที่มีตำนานที่ Romantic ที่สุด นั่นคือตำนานรักระหว่าง Eros และ Psyche เจ้าหญิงโฉมงามที่เหงานที่สุดในโลก เธอสวยมากจนทำให้ความสวยนั้นกลายเป็นภัยแก่ตัวเอง เพราะพักหลังๆ ผู้คนเริ่มหันมาบูชาความงามของเธอมากกว่า Aphrodite  ส่วนเลห์เหลี่ยมของเทพีแห่งความใคร่คือ

จะทำให้เธอตกหลุมรักกับสัตว์ประหลาด ที่แม่แต่เทพเจ้ายังกลัวโดยส่งลูกชายของนาง Eros ไปแผลงศรใส่ Psyche และสัตว์ประหลาด สถานการณ์อิรุตุงนังทำให้ Eros สะดุดทับศรของตัวเอง และ Psyche ก็ทำศรจิ้มตัวเองเช่นกัน ทั้งคู่ตกหลุมรัก ก่อนจะผ่านอุปสรรคต่างๆ นานา ที่ Aphrodite วางไว้ เพื่อขัดขวางความอดทน ไหวพริบหรือแม้แต่ชีวิตที่เป็นบททดสอบ

เมื่อบททดสอบผ่านไปได้ Eros และ Psyche ได้แต่งงานกันอย่างมีความสุข โดยเรื่องราวนีเปรียบ Eros เป็นตัวแทนของความรักที่มีอำนาจเหนือพระเจ้าทุกองค์ Psyche คือตัวแทนของจิตวิญญาณมนุษย์ที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ที่ยากลำบากที่สุดไปได้ โดยผลของการเดินทางนั้นถูกแทนเป็นเครื่องหมายโดยลูกของทั้งคู่ Hidone ที่แปลว่าความสุขในภาษากรีก

2.อะโฟรไดต์ (Aphrodite)

ความรักนั้นไม่ได้มีแค่ด้านเดียวและนิสัยใจคอที่แตกต่างของเทพีแห่งความรัก และความใคร่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปฟังเรื่องราวมาจากตำนานไหน และนั่นเป็นเรื่องบังเอิญที่กลับส่งกลับมาเป็นความรักออกมาได้อย่างดี Aphrodite เทพีแห่งความรักและความใคร่เทพที่เกิดจากฟองคลื่นนั้น อาจมีลักษณะขี้อิจฉา ขี้หงุดหงิด และเอาแต่ใจ เช่นในตำนาน Trojan war

แต่ในบางตำนาน Aphrodite ก็ถูกเล่าว่านางคือแม่ที่รักใครห่วงใยลูกด้วยความรัก ทั้ง 2 รูปแบบมาจากอะไร และนำเสนออะไร Aphrodite Pandemos คือรูปลักษณ์ที่ร้อนแรงที่นำเสนอ Aphrodite ไปยังรักทางกายภาพ ส่วนAphrodite Urania นำเสนอความรักที่บริสุทธิ์ ในขณะที่เราจะเห็นแบบแรกนั้นอาจมาจากเทพี Mesopotamian

ที่มีชื่อว่า Ishtar ที่ค่อยๆ พัฒนาผ่านกาลเวลามาหลายพันปี และเป็น version ที่พบได้บ่อยครั้งในตำนานกรีกต่างๆ ส่วนในรูปแบบหลังมักโผล่ออกมาในการบูชาโดยลัทธิเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็น Aphrodite version ได้รับอิทธิพลการตีความจากผู้ศรัทธาคริสต์ศาสนาแล้ว

3.เฟรยา (Freyja)

ตั้งแต่ Ishtar ไปจน Aphrodite ร่างที่ชาว Sparta เคารพบูชา แม้ช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงไปนานมากเท่าไหร่ แต่บ่อยครั้งที่เทพแห่งรัก จะกลสายไปเป็นเทพแห่งสงครามไปพร้อมๆ กันด้วย สาเหตุนั้นอาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่างๆ ส่งอิทธิพลไปยังตัวตนของเทพที่พวกเขาบูชา

และเมื่อเรามองในอีกมุมที่ห่างไกลออกมาจากวัฒนธรรมกรีกโบราณ แล้วไปยัง norse mythology  แม้ที่อยู่อาศัยที่จะเปลี่ยนแปลงไปแต่ดูเหมือนว่ารัก และสงครามจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาสำหรับเทพแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และนักรบFreyja เป็นหนึ่งในเทพที่ทรงพลังที่สุดใน norse mythology

เพราะนอกจากความรักแล้ว Freyja ยังมีความสัมพันธ์กันกับชะตากรรม เวทมนตร์ ความตาย และสงครามด้วย Freyja เป็นผู้ควบคุมนักรบหญิง Valkyrie และเป็นผู้เลือกวิญญาณนักรบผู้ดับสูญในการสู้รบไปอยู่ในโลกหลังความตายโฟล์ควังก่อนที่ Odin จะเลือกใครไปยัง Valhalla ด้วยซ้ำ

4.บาสต์ (Bastet)

ทำไม goddess of love ของชาวอียิปต์ถึงเป็นเทพประจำตัวแมวไปพร้อมๆ กันด้วย? เพราะเมื่อพูดถึงแมวสิ่งแรกๆ ที่เราจะนึกถึงคงเป็นความยิ่งพระยศของมันมากกว่ารัก แต่เมื่อมองในบริบทของสังคมวัฒนธรรมโบราณความสมันพันธ์กันของทั้ง 2 อาจเข้าใจได้มากกว่านั้นBastet คือ goddess of love เทพีแห่งรักและความเจริญพันธุ์ของคน Egypt ในตอนนี้

เพราะแมวเป็นสัตว์ที่ได้รับสรรคเสรินให้อยู่สูงในหลากหลายเรื่องราว ทั้งการเป็นสัตว์ที่ช่วยไล่หนูไล่งู ไปจนการเทิดทูลการดูแลลูกหลานของมัน Bastet เป็นเทพที่ทำให้เราเห็นในเรื่องนั้น และนั่นคือเป็นทั้งผู้ปกป้องต่อโรคร้าย เป็นเครื่องหมายของการเป็นเทพของความเป็นแม่ และความเจริญพันธุ์ของแมวก็น่าจะเป็นเรื่องที่รู้จักกันดี

5.พระปารวตี (Parvati)

พระปารวตีหรือพระแม่อุมา คือภรรยาของพระศิวะ เป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ การเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่าผู้คน และความปรารถนา แต่ความหมายเบื้องหลังเครื่องหมายของพระปารวตีนั้น สามารถตีความได้มากกว่าแค่ความรักหรือความต้องการเช่นเดียวกันกับที่ศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ

Yoni เป็นเครื่องหมายของพระปารวตี และมีคำแปลว่ารูปแบบเครื่องหมายนั้น คำว่า Yoni อาจหมายความว่าได้ว่าที่ทำให้เกิดที่เรานั้นเกิดมาหมายความว่าทั้ง 2 เป็นมากกว่าอวัยวะเพศ แต่เป็นนามธรรมเกี่ยวข้องกับการกำเนิดสรรพสิ่ง และหากจะตีความว่ารักและความเชื่อมต่อเป็นจุดกำเนิดของทุกอย่างก็คงเป็นแนวคิดที่ทรงพลังไม่น้อย