ทำไมผู้หญิง “เชื้อสายแอฟริกัน” ถึงมีความเสี่ยง “มะเร็งเต้านมชนิดร้ายแรง” ที่มากกว่าประเทศอื่น

สุขภาพ ความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ประเภท “ร้ายแรง” ทำไมถึงเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีพันธุ์กรรมชาว African (สาวผิวดำ) มากกว่าผู้หญิงเชื้อสายอื่นที่ผิวขาวถึง 2 เท่า ซึ่งความสงสัยนี้ส่งผลทำให้นักวิจัยได้คนหาวิธีการช่วยให้ผู้หญิงผิวดำมาร่วมการทดลองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในหมู่ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคนี้

ความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ชนิด “ร้ายแรง” ทำไมถึงเกิดกับผู้หญิงเชื้อสายแอฟริมากกว่าที่อื่น

นักวิจัยใน America พบความสัมพันธ์กันทางพันธุกรรมเกี่ยวกับคนที่มีเชื้อชาติ African กับการเสี่ยง Serious breast cancer โดยนักวิจัยตั้งหมายว่าผลการทดลองของพวกเขานั้นจะช่วยให้ผู้หญิงผิวดำ ที่มาร่วมการทดลองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในหมู่ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคนี้

Laverne Font Leroy หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันวัย 53 ปี ที่อาศัยอยู่ที่นิวยอร์กบอกว่า เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามีเรื่องนี้ที่จะทำให้เธอนั้นเป็นห่วง Laverne ใช้ชีวิตด้วยการรักษาสุขภาพอย่างดี เธอทานอาหารดี ๆ และออกกำลังกายในทุกๆวัน แต่ก่อนวันเกิดเมื่อเดือนมกราคาไม่นาน หมอแจ้งผลวินิจฉัยซึ่งทำให้เธอทั้งกลัวและงุนงง

เพราะหมอว่าเธอนั้นป่วยเป็น มะเร็งเต้านม แน่นอนว่าเธอมีความกลัวเป็นอย่างมาก เพราะคนที่เธอรู้จักมักคุ้นมี่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว Laverne ค้นพบว่าตัวเองเป็น มะเร็งเต้านม ประเภท triple-negative (TNBC) หรือ มะเร็งเต้านม ชนิดที่ไม่มีตัวตอบรับกับฮอร์โมนหรือยีนส์ HER2

นี่เป็นชนิด มะเร็งที่หายาก แต่มันก็โตได้เร็วมากกว่าทุกชนิดที่มีมาและมีโอกาสที่จะลุกลามได้ และคนที่หายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นมันได้อีกครั้ง นอกจากนี้มะเร็งชนิดนี้ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในบรรดามะเร็งเต้านมชนิดต่าง ๆ ด้วยความที่มะเร็งตัวนี้ไม่มีตัวรับ 3 ชนิด ที่มะเร็งเต้านมชนิดอื่นมีทำให้ยาที่ใช้ไม่ได้ผลกับมะเร็งเต้านมประเภทนี้

จะพบเจอมะเร็งประเภทนี้ในหญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี  และพบเจอมันกับหญิงสาวผิวดำมากกว่าหญิงสาวผิวขาว งานวิจัยถูกเผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ Jama Oncology พบว่าผู้หญิงผิวดำที่เป็นมะเร็งประเภท TNBC มีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิงผิวขาวที่เป็นมะเร็งชนิดเดียวกันถึง 28 เปอร์เซ็นต์

งานวิจัยดังกล่าวนั้นได้รับการคอนเฟิร์มแล้วว่ามีความมันมีความสัมพันธ์กันของกรรมพันธุ์ African กันกับมะเร็ง TNBC ซึ่ง Dr Lisa Newman จากวิทยาลัย Weill Cornell Medicine มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยมะเร็งเต้านมในผู้หญิงในภูมิภาคต่าง ๆ ของแอฟริกามา 20 ปีแล้ว งานวิจัยของเธอชี้ว่า TNBC บอกว่า

เพราะสามารถพบได้ง่ายมากเป็นพิเศษในผู้หญิงที่มาจากทางตะวันตกของภูมิภาคตอนใต้ sahara desert ในทวีปแอฟริกา (Sub-Saharan Africa) อย่างเช่ย ประเทศกานา Dr. Lisa Newman บอกว่าอาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะพันธุกรรมของผู้หญิงบริเวณนี้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบนี้หลังจากต่อสู้กับโรคติดต่อร้ายแรงอย่างเช่น มาลาเรีย

Dr. Newman บอกว่างานวิจัยชิ้นดังกล่าวสำคัญมากในการค้นหาความจริง และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้หญิงจากหลากหลายประเทศต้องมาเข้าร่วมการทดลองทางการแพทย์ น่าเสียดายที่ผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมาเข้าร่วมการทดลองเกี่ยวกับโรคมะเร็งจำนวนน้อยมาก และเราก็เห็นปรากฏการณ์นี้ในการทดลองมะเร็งเต้านมครั้งนี้เหมือนกัน

และเมื่อไม่มีอาสาสมัครเข้ามาร่วมทดลองที่มากมายหลากหลายประเทศ ทุกคนก็จะไม่ได้รับความชัดเจนว่าจะปรับใช้เทคนิคที่ก้าวหน้าขึ้นในการรักษายังไง Dr. Newman บอกว่า เหตุผลส่วนหนึ่งคือคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันไม่ไว้วางใจระบบสาธารณสุขมาตั้งแต่ในอดีต

เพราะว่ามันยังมีเรื่องของการเหยียดสีผิวที่อยู่ในระบบให้บริการด้านสาธารณสุขอยู่ น่าเศร้าใจว่ามีการบันทึกจดเอาไว้ว่าผู้ให้บริการรักษามะเร็งจำนวนไม่น้อย มีแนวโน้มที่จะเสนอให้คนไข้ผิวดำเข้าร่วมการทดลองทางการแพทย์ ในจำนวนที่น้อยกว่าคนไข้ผิวขาว

Laverne เห็นด้วยว่าพพวกเธอต้องเข้าร่วมการทดลองทางการแพทย์ ซึ่งมันก็คือสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมการทดลองครั้งดังกล่าว เธอบอกว่าประวัติศาสตร์คนผิวดำในสหรัฐอเมริกากันไม่ให้พวกเขามามีส่วนร่วมกับโครงการแบบนี้ และเธอก็อยากจะมีส่วนร่วมในการทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป

และในเดือนกรกฎาคม Laverne ก็หายจากนี้หลังเข้ารับการผ่าตัดที่ไม่มีความผิดพลาดจากทีมแพทย์ เธอบอกว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี… เธอภูมิใจที่ฉันสมัครเข้าร่วมการวิจัย และฉันก็ภูมิใจที่ได้ช่วย Dr. Lisa Newman ในอังกฤษผู้หญิงผิวดำเชื้อสายแอฟริกันมีแนวโน้มถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะท้าย ๆ มากกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 2 เท่า

Dr. Georgette Oni แพทย์ด้านมะเร็งเต้านมจากเมืองนอตติงแฮม บอกว่า การขาดอาสาสมัครจากคนผิวดำในการทดลองทางการแพทย์เป็นปัญหาในสหราชอาณาจักรเหมือนกัน เธอบอกว่ายิ่งมีจำนวนคนที่เข้าร่วมการทดลองมากแค่ไหน ก็จะได้ข้อมูลที่มีนัยสำคัญมากขึ้น