วิธีทำงานให้เสร็จ ภายในพริบตา!! แม้จะขี้เกียจแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่เสร็จ แม้ในเวลาที่เรา “ไม่อยาก” จะทำอะไรสักอย่างเลย lifestyle สำหรับใครที่เป็นมนุษย์เงินที่ต้องทำงานหามรุ่งหหามค่ำจนไม่มีเวลาพัก และเมื่อได้พักดันขี้เกียจจนไม่อยากจะทำอะไรนั้นต้องห้ามพลาดแวะเข้ามารับชมเรื่องราวที่เรานำมาให้ดูในวันนี้ก่อน
วิธีทำงานให้เสร็จ ให้ทันเวลา แม้ว่าจะไม่อยากทำ หากทำตามนี่มันก็จะเสร็จทัน
“สิ่งดึงดูดใจ” หรือ “Motivation” ในการทำงานนั้นมันนเป็นอะไรที่หาได้ยากมากเพื่อมากระตุ้นให้เรานั้นมีความรู้สึกอยากจะทำงานมากกว่าเดิม และยิ่งในสมัยนี้ที่มีหลายปัจจัยที่ทำให้เราขี้เกียจ อาทิ ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านเป็นเวลานานนับเดือนในแบบฉบับที่ไม่ได้ไปเห็นเดือนเห็นตะวันที่ไหน ไม่ได้ไปเที่ยวไม่ได้ไปปหาเพื่อน
ไม่ได้ไปเข้าสังคมซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมันทำให้เราไม่อยากจะทำอะไรเลยสักอย่างไม่เว้นนแม้แต่งานที่กองท่วมหัวของเรา และถ้าตอนนี้เรากำลังอยู่ในสภาวะมองไปที่ไหน ไม่ว่าจะทำยังไง Motivation ในการทำงานนั้นก็ไม่มี ก็ไม่ต้องวิตกกังวลหรือโกรธตัวเองไปเลย เพราะว่าแรงจูงใจสามารถสร้างได้แค่เรานั้นรู้เทกนิค ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวมวิธีสร้างแรงจูงใจมาฝาก
1.แรงจูงใจไม่ได้เหมือนกันหมด
“Dr. Stefano Di Domenico” นักวิจัยเรื่อง Motivation และเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ The University of Toronto Scarborough บอกว่าแรงจูงใจมีอยู่ด้วยกันแค่ 2 ชนิด
- ชนิดที่ 1 คือ “แรงจูงใจบังคับ” (controlled motivation) ที่มาจากเรื่องที่บีบบังคับมาจากสิ่งรอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น เส้นตายงานที่ต้องส่งวันนี้ เงินโบนัสจำนวนมากที่ต้องทำ ส่วนปัจจัยภายในนั้นมีดังนี้ ความรู้สึกผิด อยากได้ใจคนที่อยู่รอบข้าง
ส่วนแรงจูงใจที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนั้นต้องการและตามหาและอยากได้มากที่สุดนั้นได้แก่
- ชนิดที่ 2 คือ“แรงจูงใจที่ไม่ถูกบังคับจะทำอะไรก็ได้” (autonomous motivation) ที่ทุกคนนั้นทำแล้วมันรู้สึกว่าอยากจะทำมันโดยไม่มีข้อแม้ไม่น่าเบื่อ และมันสมกับที่เราทุ่มเทแรงกายแรงใจทำมันลงไป และนี่แหละจะเป็นแรงจูงใจที่ถ้าใครมีก็สามารถทำงานให้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแม้จะขี้เกียจมากมายขนาดไหนก็ตาม
****ปล.ข้อถัดๆ ไปจะเป็นวิธีปั้นแรงจูงใจชนิดนี้
2.ให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเอง
การมอบรางวัลให้กับตัวเองไม่ใช่แค่ให้ตอนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬาร เพราะมีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยนั้นบอกว่าการให้รางวัลกับตัวเองบ่อยๆด้วยอะไรบางอย่าง ถ้าหากเราทำอะไรเสร็จเรียบร้อย จะเป็นอะไรที่ทำให้เรานั้นมีแรงจูงใจและทำให้เรารู้สึกสนุกกับหน้าที่หรืองานที่เราต้องทำมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับ Dr. Laura Park ศาสตราจารย์สาขาวิชาจิตวิทยา the University at Buffalo ที่เคยวิ่ง marathon มาก่อน แต่ในตอนนี้ Dr. Laura Park กลับรู้สึกว่าการแบ่งเวลามาวิ่งเป็นเรื่องยาก Dr. Laura Park จึงเปิดหนังดูไปด้วยเวลาต้องวิ่งบนลู่วิ่ง ทำให้ Dr. Laura Park รู้สึกว่าการวิ่งในบ้านก็ไทชม่ใช่เรื่องที่แย่สักเท่าไหร่
3.หาเหตุผลคำว่า “ทำไม” ของตัวเองให้เจอ
Dr. Richard M Ryan ตำแหน่ง clinical psychology หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ คนที่พัฒนารูปแบบทางไอเดียที่ทำให้มนุษย์สามารถทำความเข้าใจเรื่องของแรงจูงใจมากขึ้น ทฤษฎีการกำหนดตัวเอง (self-determination theory) สนับสนุนให้มนุษย์จ่มดิ่งลงไปค้นหาคุณค่าของตัวเองที่อยู่ข้างใน หากเราต้องการมีแรงจูงใจในระยะยาว
Dr. Richard M Ryan กล่าวว่า ถ้าเราสานสัมพันธ์กันในเรื่องที่จำเป็นและสำคัญกับเราได้เท่าที่จำเป็น แม้สิ่งนั้นอาจเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เราจะสามารถควบคุมตัวเราเองให้ลงมือทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แล้วลองถามตัวเองว่าสิว่า “อะไรที่ทำให้เรารักงานนี้? ” หรือ “สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันมีค่าอะไร
หรือจะเริ่มจากการเขียนสิ่งที่มีค่ากับตัวของเราลงในสมุดก่อนก็ได้ อย่างเช่น “Dr. Tanaya Winder” นักกวีและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เธอเปิด workshop เกี่ยวกับการเรียกคืนความต้องการของเธอในชีวิต และบ่อยครั้ง Dr. Tanaya Winder จะให้นักเรียนเขียนตามอิสระว่าอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีชีวิตชีวา
4.ไปด้วยกัน ไปได้ไกล
บางครั้ง “ความรู้สึกที่สัมพันธ์กัน” ก็สามารถทำให้เรามีแรงจูงใจในการทำหน้าที่ของตัวเองดีมากขึ้นได้ คือข้อนี้ให้เรานั้นลองติดต่อสัมพันธ์จุดประสงค์ในชีวิตเข้ากับคนที่อยู่ข้างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมทีม หรือคนรักพี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหาย
Dr. Richard M Ryan กล่าวว่า “ความรู้สึกที่สอดคล้องกันกับสังคม” (Social connections) แบบนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตุว่าช่วยฟื้นแรงจูงใจให้กลับมาดีขึ้นได้ จึงไม่ประหลาดอะไรที่ช่วงนี้จะมีคนรู้สึกหมดแรงจูงใจเป็นจำนวนมหาศาล เนื่องจากต้องทำงานคนเดียวอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆช่วงที่ล็อคดาว “พอปราศจากความรู้สึกสอดคล้องกันขั้นพื้นฐาน แรงจูงใจจึงค่อยๆ หายไป” Dr. Richard M Ryan กล่าว
ดังนั้นถ้าหากเรานั้นรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับงานที่ทำ ก็ลองโทรหรือแชทไปหาเพื่อนร่วมงาน เพื่อช่วยกันลงมือทำโครงการงานอะไรบางอย่างด้วยกัน เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนที่ทำงานด้วยการ หรือจัดประชุมรววบรวมความคิด อะไรก็ได้ที่ช่วยสร้างความสอดคล้องกันได้
แน่นอนว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นมันนส่งผลดีต่อหลายๆคน เพราะการบอกให้ใครสักคนรับรู้ว่าเราคิดถึงเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่มันจะไปปลุกแรงจูงใจให้คนๆ นั้นอยากทำงาน อย่างเช่นเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ Dr. Richard M Ryan เพิ่งส่งจดหมายสั้นๆ ไปหาอาจารย์สมัยเรียนวิทยาลัยว่า
ขอบคุณอาจารย์ที่เป็นคนมอบความรู้และประสบการณ์ที่ท้าทายในห้องเรียนจนทำให้เขามีแรงบรรนดาใจ อาจารย์ตอบกลับ Richard M Ryan อย่างรวดเร็วว่า E-mailของ Dr. Richard M Ryan ช่วยปลุกแรงจูงใจให้อาจารย์นั้นหึกเหิมขึ้นมา
5.ลงสนามแข่งขัน
การแข่งขันนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ใครหลายๆคนได้ Dr. Damon Centola ศาสตราจารย์จาก the University of Pennsylvania และนักวิจัยอาวุโสจากงานวิจัยปี 2016 เล่าถึงงานวิจัยที่รวบรวมของเขาที่ได้เด็กนักเรียนมาเข้ากลุ่มออกกำลังกายในโลกออนไลน์ โดยให้กลุ่มที่หนึ่งนั้นตั้งเป้าให้แข่งขันกัน ส่วนกลุ่มที่สองนั้นเขาให้เน้นการสนับสนุน
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ เด็กนักเรียนในกลุ่มที่ 1 ที่ เน้นแข่งขันจะออกกำลังกายมากกว่ากลุ่มที่ 2 ที่เน้นสนับสนุน ดังนั้น Dr. Damon Centola จึงสรุปว่าคนข้างกายนั้นมีอิทธิพลต่อตัวของเรามากกว่าที่เราคิด ดังนั้นจงนำสิ่งที่มีผลต่อตัวของเราของคนที่อยู่ข้างๆกายมาสร้างการแข่งขันให้กับตัวเอง ในเวลาที่ต้องการแรงจูงใจทำอะไรสักอย่าง เช่น การทำงาน เป็นต้น
6.เห็นใจตัวเองบ้างก็ได้
สำหรับบางคนการแข่งขันมันทำให้เราคิดมากจนหัวจะแตกได้ และเปลี่ยนแรงจูงใจให้กลายเป็นกลุ่มความคิดที่บังคับเราเหมือนครูฝึกจอมโหด สำหรับ “Dr. Christine Neff” รองศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยาจาก University of Texas บอกว่าการกระทำสิ่งต่างๆกับตัวเองด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นผลและสำเร็จมากกว่าการไปบังคับตัวเอง
เพราะมันสามารถช่วยให้คนจดจ่อกับเป้าหมายได้มากขึ้น ลดความกลัวที่จะล้มเหลว พัฒนาความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น
Dr. Christine Neff แนะนำว่าให้เรานั้นหยุดตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเลยเป็นอย่างแรก เพราะบางครั้งเราอาจพบว่ามันถึงเวลาแล้วที่เรานั้นจะปรับเป้าหมายในการทองเห็นใหม่ หรือบางครั้งเราอาจจะพบว่าเรานั้นต้องการแรงจูงใจจากใครบางคนที่อยู่ภายนอก เพราะบางครั้งทุกอย่างที่เราต้องการนั้นมันอาจเป็นแค่สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราเรานั้น กำลังตกอยู่ใรช่วงเวลาที่ยากเย็นแสนเข็น และนั้นมันคือเรื่องปกติของชีวิตเลย
Dr. Christine Neff กล่าวว่าการที่เรานั้นเห็นใจตัวเองไม่ได้แปลว่าเรานั้นจะลดข้อบังคับ หรือทิ้งทุกอย่างที่จะทำให้ตัวเองเติบโตไป เพราะในหนังสือที่เธอเขียน “ความเห็นอกเห็นใจตนเองที่รุนแรง วิธีที่ผู้หญิงสามารถควบคุมความกรุณาในการพูด อ้างสิทธิ์ในอำนาจของตน และเจริญเติบโต” กล่าวถึงงานวิจัยที่ศึกษาอาสาสมัครที่เรียนอยู่ที่มีตะแนนการสอบวิชาคำศัพท์ที่ค่อนข้างแย่
หลังการสอบกลุ่มนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนให้เห็นใจตัวเอง จะตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆได้นานกว่าปกติ และมีคะแนนสอบที่ดีขึ้นในการสอบครั้งต่อๆ มา เมื่อเทียบกับกลุ่มนักเรียนที่โดนปลูกฝังความเชื่อมั่นในตัวเองเฉยๆ หรือไม่ได้รับคำแนะนำ เพราะกุญแจดอกที่ดีที่สุดของการสร้างแรงจูงใจคือ การเห็นใจตัวเองที่ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาด
7.อย่าลืมว่า “คุณไม่ได้โดดเดี่ยว”
หากเราเปิดโอกาสให้ตัวเองได้หันมองรอบตัวว่าอะไรเป็นอะไร เราจะพบว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยนั้นหมดแรงจูงใจไม่อยากทำอะไรเหมือนเรา เราไม่ได้เป็นคนที่แปลกประหลาดหรือคนที่ผิดอะไรเลย ถ้าหากวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึก “ไม่อยากทำอะไรเลย” มันก็เป็นเรื่องปตกติ
และในช่วงเวลาที่ยากเย็นแสนเข็ญนั้นมีใครอีกหลายที่ล้มไม่รู้ตั้งกี้รอบ แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราเองก็สามารถทำได้เหมือนกับเขา เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือน เราสามารถทำอะไรผิดพลาดได้เหมือนกัน เราสามารถท้อได้เหมือนคนอื่น และเราก็สามารถหมดแรงหมดไฟได้ในบางที
แต่เราอาจแค่ต้องการเวลาให้ตัวเองสักพัก แล้วก่อร่างสร้างแรงบรรนดานใจในชีวิตขึ้นมากันใหม่อีกครั้ง ยิ่งถ้าเราได้อ่านมาถึงประโยคสุดท้ายนี้ ก็แสดงว่าเรานั้นมีแรงจูงใจในชีวิตอยู่ ดังนั้นให้รางวัลให้กับตัวเองที่อ่านเรื่องราวที่เรานำมาให้ดูจนจบ แล้วออกไปสร้างแรงจูงใจให้กับชีวิตให้เกิดขึ้นอีกครั้งกันเถอะ!
สามารถติดตามข่าวสารใหม่สดทุกวันที่ได้ที่นี่
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์