Starseed “สตาร์สีด” คือใคร!!? ทำไมเขาประกาศให้คนทั่วโลกรับรู้ว่าไม่ใช่ “มนุษย์”

Starseed สตาร์สีด คือใคร ทำไมเขาประกาศให้คนทั่วโลกรับรู้ว่าไม่ใช่ “มนุษย์” แล้วเพราะเหตุใดถึงเชื่อว่าตัวเองเป็น Alien “เอเลียน” ที่อาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ ไลฟ์สไตล์ บอกเลยใครที่เคยสงสัยกับการได้ชื่อของ Starseed นั้นมาถูกทางมากเพราะว่าในวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูคำตอบว่ามันคืออะไร

สตาร์สีด คือใคร แล้วทำไมพวกเขานั้นถึงบอกว่าตัวเองคือ “เอเลียน” ที่อยู่ในร่างมนุษย์

ทุกคนรู้หรือไม่ว่าในตอนนี้บนโซเชียลมีเดียนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งนั้นได้ออกมาแสดงตัวตน บอกกล่าวให้คนบนโซเชียลนั้นรับรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่พวกเขานั้นคือ Alien “เอเลียน” ที่ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ซึ่งพวกเหล่านั้นตั้งชื่อให้ตัวเองว่าพวกเขานั้นคือ “สตาร์สีด” (Starseed) หรือ “เมล็ดพันธุ์ของดวงดาว”

พวกเขานั้นมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมากว่าแท้ที่จริงแล้วจิตวิญญาณของพกวเขานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่มาจากต่างถิ่น ส่วนสาเหตุที่พวกเขานั้นลงมาอยู่ที่นี้เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นมาเยียวยาจิตใจมนุษย์โลก และนำพามนุษยชาติไปสู่ “ยุคทอง” ที่มากมายก่ายกองไปด้วยความสุข ความมั่งคั่ง ความสำเร็จในด้านต่าง ๆ และถึงเป้าหมายถึงขีดความสามารถทางเทคโนโลยีระดับสูง

แน่นอนว่าคำพูดเมื่อสักครู่นั้นมันเหมือนคำพูดของคนที่สติไม่ดีเพ้อฝัน แต่ถ้าหากเราลองไปเสิร์ชหาคำว่า (Starseed) บน Google เราจะเห็นได้ว่าคำนี้มีคนออยากรู้อยากเห็นเข้าไปค้นหามากกว่า 4 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เผยแพร่เรื่องราวและคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องทาง social media อีกเป็นจำนวนมาก โดยมีสถิติการเข้าชมทาง TikTok สูงกว่า 1,000 ล้านครั้ง

ความสนใจมากมายมหาศาลต่อแนวคิดเรื่องกลุ่มคนที่บอกว่าตัวเองคือ Starseed ทำให้กลุ่มของนักจิตวิทยาจากทั่วทุกมุมโลกต้องการจะศึกษาความเป็นไปเป็นมา และที่มาของความเชื่อที่กล่าวมาเมื่อสักครู่ให้แจ้งกระจ่าง โดยสามนักวิชาการจากสหราชอาณาจักร ได้แก่

• Ken Drinkwater จาก Manchester Metropolitan University
• Neil Dragnell จาก Manchester Metropolitan University
• ร่วมกับ Andrew Denovan จาก University of Huddersfield

ทั้ง 3 คนนั้นได้เขียนบทความอธิบายถึงความเชื่อดังกล่าวลงในเว็บไซต์ The Conversation เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2023 ที่ผ่านมา โดยนักจิตวิทยาทั้ง 3 คนนั้นเขียนเนื้อหาในบทความของตัวเองว่า ชาว Starseed นั้นไม่เชื่อว่าพวกเขานั้นคือมนุษย์ธรรมดาที่มาเกิดนอกจากร่างกาย แต่พวกเขานั้นคือดวงจิตของ Alien จากต่างมิติและต่างดาว ที่เข้ามาอาศัยเกิดในท้องของแม่ชาวโลกเท่านั้น

การมาเกิดในร่างของมนุษย์นั้นเป็นไปตามความต้องการที่อยากมีร่างกายเท่านั้น เพื่อนำมาใช้งานเพื่อช่วยภารกิจกอบกู้โลกได้ดีกว่า และหลังจากที่เกิดได้ไม่นานนความคิดและจิตวิญญาณ Alien นั้นก็จะค่อยๆเริ่มหวนคืนกลับมาในภายหลัง เพื่อให้คำนึงถึงเรื่องราวในภารกิจของตัวเอง และเริ่มทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมต่อโลกกับอาณาจักรต่างดาวเข้าด้วยกัน

ชาว Starseed ที่ดวงจิตนั้นหวนกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์แบบจะสามารถใช้พลังสมาธิที่มี เพื่อเดินทางข้ามไปมาระหว่างดวงดววต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถติดต่อพูดคุยกับทุกชนิดในโลกที่มีลมหายใจได้ด้วย “ภาษาแสง” (light language) ที่คือภาษาสื่อกลางของโลกของ spirit ที่ก้าวผ่านข้อจำกัดมากมายในการสื่อสารของมนุษย์

ความเป็นจริงแล้วความเชื่อเรื่องชาติกำเนิด Starseed มีที่ไปที่มามาจากนวนิยายของ แบรด สตีเกอร์ ชาวอเมริกัน (Brad Steiger) นักประพันธ์บทความแนวเรื่องลึกลับและไซไฟ (Sci-Fi) โดยนวนิยายที่ Brad Steiger เขียนขึ้นเมื่อปี 1976 ที่มีชื่อว่า Gods of Aquarius หรือ เทพเจ้าของคนที่เกิดในราศีกุมภ์ ได้พูดถึงคนบางจำพวกที่มาจากต่างมิติและมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลก

ผู้ที่มีศรัทธาแบบรุนแรงในเรื่องดังกล่าวนั้นบอกว่ามีมากมายหลากหลายวิธีที่ทุกคนจะใช้สังเกต และตรวจสอบตัวเองและคนอื่นได้ว่าเรานั้นเป็นคนที่มาจาก Starseed อย่างเช่น การมีนิสัยใจคอเป็นคนที่อยากเรียนอยากรู้ในเรื่องของศาสนาและจิตวิญญาณเป็นพิเศษ, เป็นคนมีเมตตาธรรม, เป็นคนมีความมุ่งมั่นในการตามหาความหมายของชีวิต, รวมไปถึงการมีเซ้นส์ที่หกแรงหรือมีญาณหยั่งรู้ที่ชัดเจน

ใช่ว่าชาว Starseed นั้นจะมีแต่เรื่องที่ดีและพิเศษมากกว่ามนุษย์ทั่วไป เพราะพวก Starseed นั้นก็มีเรื่องที่ไม่ดีและเรื่องแย่ๆอยู่จำนวนไม่น้อย อย่างเช่น พวกเขามีอารมณ์อ่อนไหวง่ายและมีปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและทางใจอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าดวงจิตของ Starseed ที่มาจากต่างมิตินั้นยังไม่คุ้นชินกับร่างมนุษย์

Starseed ยังรู้สึกหงอยเหงาเดียวดายเหมือนคนหลงที่อยู่อาศัยอยู่เป็นประจำ ทั้งรู้สึกแปลกแยกจากสังคมรอบข้างและโลกใบนี้อีกด้วย และถึงแม้ชาว Starseed จะมีความต้องการว่าจะมองทั้งใจทั้งร่างกายมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก แต่เหตุผลข้างต้นผสมกับการที่ต้องเผชิญปัญหาเล็กๆน้อยๆจำนวนมากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ทำให้ชาว Starseed ต้องหนีออกไปจากสังคมในช่วงใดช่วงหนี่งของชีวิต เพื่อ “charge the battery” เติมพลังให้ตัวเองด้วยการทำสมาธิ

ชาว Starseed ยังมีความเชื่ออีกหนึ่งอย่างว่าพวกเขามีความสนใจเรียนรู้ และตื่นเต้นต้องการที่จะสำรวจแนวคิดใหม่ ๆ รวมทั้งเรียนรู้วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็นนต้นไป ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาและมนุษยชาติเกิดพุทธิปัญญาหรือความรู้แจ้งต่อความจริงของชีวิตได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตามความเชื่อดังกล่าวนั้นยังเป็นที่มาของพฤติกรรมยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีสมคบคิดมากมาย รวมทั้งการปฏิบัติตามแนวทางดูแลสุขภาพที่ดูแล้วไม่ปกติ แถมยังเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ชาว Starseed จำนวนไม่มากยังเชื่อแบบเดิมๆว่า เทพเจ้ายุคโบราณนั้นคือ Alien ทรงภูมิปัญญา ที่เดินทางมาช่วยสร้างอารยธรรมในสมัยแรกๆให้กับชาวโลก

แม้จะมีข้อสังเกตจำนวนไม่น้อยที่ช่วยให้เรานั้นสามารถพิจารณาได้ว่า เรานั้นมาจาก Starseed หนึ่งในกลุ่มที่กล่าวมาเมื่อตอนต้นหรือเปล่า แต่นักจิตวิทยาผู้เขียนเรื่องราวนี้กลับบอกว่า คนจำนวนมากมายมีโอกาสที่จะถูกมองว่าเป็น Alien ในร่างมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย

เพราะอิทธิพลของ Forer effect ที่คนนิยมเห็นด้วยกับคำอธิบายเกี่ยวกับตัวเองในแบบไม่แจ้งไม่กระจ่างอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคำทำนายดวงชะตาแบบกว้าง ๆ ในนิตยสาร ที่ดูเหมือนว่าจะแม่นยำไปเสียทุกครั้ง แต่ถ้าเอาความจริงมาพูดความเชื่อของชาว Starseed ไม่ได้จัดได้ว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งของลัทธิ New Age หรือความเชื่อทางจิตวิญญาณสมัยใหม่ที่เกิดขึ้น

และเผยแพร่ออกไปในหลายเขตในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 โดยความเชื่อทั้งสองแบบมีรูปลักษณ์ร่วมที่เชื่อมโยงกันหลายข้อมากมาย เช่น ตั้งเป้าหมายไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างการดำรงอยู่ของตัวตนกับจักรวาล และมีความเชื่อในเรื่องการใช้พลังจิตบำบัดรักษาโรค

ในตอนนี้มีคนที่เชื่อเคารพและให้การสนับสนุนแนวคิดแบบ New Age รวมทั้งเชื่อในเรื่องเผ่าพันธุ์ Starseed เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นแบบนั้นเป็นเพราะว่า คนรุ่นใหม่จำนวนมหาศาลมีความระแวง มีความสงสัยในหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อถือแนวคิดที่ตัดสินว่าอะไรจริงหรือเท็จจากมุมมองที่เคยนำมาใช้ในอดีต

เพราะพวกเขานั้นขาดความไว้เนื้อเชื่อใจต่อรูปแบบต่างๆทางสังคมสมัยใหม่ ทำให้พวกเขาเกิดความต้องการตามหาความอยากรู้อยากเห็นเป็น “คำอธิบายทางเลือก” และต้องการที่จะค้นหาความจริงด้วยตนเอง อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนหลงเชื่อเรื่องเผ่าพันธุ์ดังกล่าวแบบโงหัวไม่ขึ้นนั่นก็คือ

คนที่ชอบบอกว่าตัวเองนั้นมีความชอบวาดคฤหาสในอากาศและมีจินตนาการสูงเสียฟ้า จนทำให้บางครั้งเกิดสับสนได้ว่าอะไรคือความเพ้อฝันและอะไรคือความจริงกันแน่ การที่บางคนนั้นไม่สามารถแยกแยะภาวะดังกล่าวออกจากกันได้นี้ ในทางจิตวิทยาเรียกว่า “การตามหาสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นทำงานผิดพลาด” (source monitoring error)

ซึ่งมันเป็นภาวะที่ทำให้ความทรงจำในจิตใต้สำนึกของคนๆนั้นทำงานไม่ตามระบบ จนทำให้คนๆนั้นไม่อาจจะทราบได้ว่าเรื่องราวในอดีตที่จำเอาไว้ได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคจิตเภท ส่วนงานวิจัยล่าสุดก็พบตัวไขปริศนาว่า คนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติคล้ายโรคจิตเภทอย่างอ่อน (schizotypal personality disorder) ชอบจะกลายเป็นคนที่เชื่อถือในทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ได้ง่าย

อีกทั้งยังมีความผิดปกติทางจิตที่เรียกว่า “ภาวะสับสนทางภววิทยา” (ontological confusion) ภาวะที่ทำให้บางคนหลงศรัทธาแนวคิดพิสดารของชาว Starseed ได้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือเรื่องจริงแล้วอะไรคือเรื่องที่นำมาพูดเปรียบเทียบเฉยๆ  อย่างเช่น ถ้าหากมีคนบอกว่า “ของในบ้านที่เก่าแก่ล่วงรู้ทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีต”

คนที่ไม่สามารถแยกแยะอย่างที่กล่าวมาเมื่อตอนต้นได้ก็จะเชื่อว่า ของใช้ภายในบ้านหรือเฟอร์นิเจอร์เก่านั้นมีชีวิตจิตใจเหมือนคนจริง ๆ ความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างจริงจัง ในเรื่องของเผ่าพันธุ์ Starseed ยังอาจได้รับการส่งเสริมและผลักดันให้อยู่อย่างยาวนานได้อีกขั้น เพราะถ้าหากผู้ที่เผยแพร่ความเชื่อดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและน่าเคารพนับถือ

อย่างเช่นกรณี การพูดถึงกันในทางจิตวิทยาว่า “ปรากฏการณ์ไอน์สไตน์” (Einstein effect) ซึ่งการที่ giant publishing house จำนวนไม่น้อยออกมาตีพิมพ์หนังสือขาย จนทำให้ขายดีติดอันดับเกี่ยวกับแนวคิดมนุษย์ต่างดาวช่วยทำให้โลกดีขึ้น ยิ่งทำให้สาธารณชนเชื่อฝังหัวในเรื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า

สามารถติดตามข่าวสารใหม่สดทุกวันที่ได้ที่นี่