อาการ ปวดคอ บ่า ไหล่ ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่คนยุคดิจิทัลต้องเจอกันแทบทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน การเกร็งกล้ามเนื้อในท่าเดิมซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการอักเสบสะสม และหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ปวดคอ บ่า ไหล่ คืออะไร และพบบ่อยในกลุ่มใด
อาการนี้เกิดจาก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอ บ่า และไหล่ เกิดการตึงหรืออักเสบจากการใช้งานเกินกำลัง
กลุ่มที่พบบ่อย ได้แก่
- พนักงานออฟฟิศ
- ครู นักเรียน หรือนักศึกษาที่นั่งท่าเดิมนาน
- ผู้ที่เล่นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตติดต่อกันหลายชั่วโมง
- คนที่ออกกำลังกายผิดท่าหรือยกของหนักบ่อย ๆ
หากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน เส้นประสาทถูกกดทับ หรือแม้แต่การปวดเรื้อรังที่รักษายาก
สาเหตุของอาการปวดคอ บ่า ไหล่
อาการปวดคอ บ่า ไหล่ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักตามลักษณะการปวด
1. การปวดเฉียบพลัน
มักเกิดจากการใช้งานผิดท่า เช่น นอนตกหมอน ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์นาน หรือเคลื่อนไหวผิดจังหวะ อาการที่พบ: กล้ามเนื้อตึง เกร็ง หันคอได้ลำบาก ปวดบ่าเมื่อขยับไหล่
2. การปวดกึ่งเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง
เป็นอาการที่เกิดซ้ำ ๆ จากการนั่งหรือทำงานในท่าทางเดิมนานหลายชั่วโมง เช่น คนทำงานออฟฟิศ เมื่อกล้ามเนื้อขาดความแข็งแรงและยืดหยุ่น จะเกิดการหดเกร็งง่าย จนกลายเป็นอาการปวดสะสม
แบ่งประเภทของอาการปวดคอ บ่า ไหล่
แพทย์มักแบ่งตามความรุนแรงออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- กลุ่มอาการทั่วไป (พบมากที่สุด)
- สาเหตุหลักมาจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเมื่อยล้า
- คิดเป็นกว่า 80% ของผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่
- กลุ่มอาการกดทับเส้นประสาท
- มักมีอาการปวดร้าวลงแขนหรือชาร่วมด้วย
- สาเหตุจากหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท
- กลุ่มอาการกดทับไขสันหลัง (รุนแรงแต่พบน้อย)
- มีอาการชา อ่อนแรง หรือสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อบางส่วน
- ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างละเอียดทันที
แนวทางการรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ
1. กลุ่มเฉียบพลันหรือมีสัญญาณอันตราย
เช่น สุขภาพ มีอาการชาร้าวลงแขน ประวัติอุบัติเหตุ หรือโรคประจำตัวทางกล้ามเนื้อกระดูก ➡ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด เช่น X-ray หรือ MRI เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจให้ยา คลายกล้ามเนื้อ หรือทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย
2. กลุ่มปวดทั่วไป (ไม่มีสัญญาณอันตราย)
รักษาได้ด้วยการ
- พักผ่อนและปรับพฤติกรรม เช่น เปลี่ยนท่านั่ง ทำงานให้เหมาะสม
- ทำกายภาพบำบัด เช่น ยืดกล้ามเนื้อ การนวดรักษา หรือการฝังเข็ม
- ใช้ยาแก้ปวดหรือคลายกล้ามเนื้อ ภายใต้คำแนะนำแพทย์
3. กลุ่มเรื้อรัง
ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องทำกายภาพเฉพาะทาง เช่น
- การใช้เครื่องประคบร้อน
- เครื่อง Shock Wave หรือเลเซอร์เพื่อลดอาการอักเสบ
- โปรแกรมออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและบ่า
สิ่งสำคัญคือ รักษาอย่างต่อเนื่องแม้อาการดีขึ้น เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
วิธีป้องกันอาการปวดคอ บ่า ไหล่สำหรับคนทำงาน
- ปรับท่าทางการทำงานให้เหมาะสม
- โต๊ะทำงานควรอยู่ระดับเดียวกับสายตา
- เก้าอี้ควรมีพนักพิงและที่วางแขน
- หลีกเลี่ยงการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์นาน ๆ
- พักสายตาและขยับร่างกายทุก 30–60 นาที
ลุกขึ้นยืดเหยียดหรือหมุนไหล่เพื่อคลายกล้ามเนื้อ - ออกกำลังกายเป็นประจำ
เช่น การยืดกล้ามเนื้อคอและบ่า โยคะ ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ - ปรับพฤติกรรมการนอน
ใช้หมอนที่พอดีกับความสูงของคอ ไม่แข็งหรือเตี้ยเกินไป
ปัจจัยทางอารมณ์และความเครียดที่ส่งผลต่ออาการปวด
นอกจากพฤติกรรมทางกายแล้ว “ความเครียด” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นที่สำคัญ เมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การดูแลสุขภาพจิต เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การฝึกสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
💬 FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดคอ บ่า ไหล่
Q1: ปวดคอ บ่า ไหล่ เกิดจากอะไร?
ส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งทำงานหรือใช้มือถือในท่าทางเดิมนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือหดเกร็ง
Q2: ต้องไปหาหมอไหมถ้าปวดคอ บ่า ไหล่?
หากมีอาการร้าวลงแขน ชา หรือปวดต่อเนื่องเกิน 6 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
Q3: การออกกำลังกายช่วยได้จริงหรือไม่?
ได้แน่นอน โดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง เช่น ว่ายน้ำหรือโยคะ
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์ | Gclub | จีคลับ | Sbobet | Sbobet9