Tuesday, 14 October 2025

ปวดคอ บ่า ไหล่ อาการยอดฮิตของคนออฟฟิศ รู้ทันสาเหตุ วิธีรักษา และป้องกันก่อนเรื้อรัง

11 Oct 2025
48

อาการ ปวดคอ บ่า ไหล่ ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่คนยุคดิจิทัลต้องเจอกันแทบทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน การเกร็งกล้ามเนื้อในท่าเดิมซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการอักเสบสะสม และหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

สล็อต xo Slotxo

ปวดคอ บ่า ไหล่ คืออะไร และพบบ่อยในกลุ่มใด

อาการนี้เกิดจาก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอ บ่า และไหล่ เกิดการตึงหรืออักเสบจากการใช้งานเกินกำลัง
กลุ่มที่พบบ่อย ได้แก่

  • พนักงานออฟฟิศ 
  • ครู นักเรียน หรือนักศึกษาที่นั่งท่าเดิมนาน 
  • ผู้ที่เล่นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตติดต่อกันหลายชั่วโมง 
  • คนที่ออกกำลังกายผิดท่าหรือยกของหนักบ่อย ๆ 

หากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน เส้นประสาทถูกกดทับ หรือแม้แต่การปวดเรื้อรังที่รักษายาก

ปวดคอ บ่า ไหล่ อาการยอดฮิตของคนออฟฟิศ รู้ทันสาเหตุ วิธีรักษา

สาเหตุของอาการปวดคอ บ่า ไหล่

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักตามลักษณะการปวด

1. การปวดเฉียบพลัน

มักเกิดจากการใช้งานผิดท่า เช่น นอนตกหมอน ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์นาน หรือเคลื่อนไหวผิดจังหวะ อาการที่พบ: กล้ามเนื้อตึง เกร็ง หันคอได้ลำบาก ปวดบ่าเมื่อขยับไหล่

2. การปวดกึ่งเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง

เป็นอาการที่เกิดซ้ำ ๆ จากการนั่งหรือทำงานในท่าทางเดิมนานหลายชั่วโมง เช่น คนทำงานออฟฟิศ เมื่อกล้ามเนื้อขาดความแข็งแรงและยืดหยุ่น จะเกิดการหดเกร็งง่าย จนกลายเป็นอาการปวดสะสม

แบ่งประเภทของอาการปวดคอ บ่า ไหล่

แพทย์มักแบ่งตามความรุนแรงออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มอาการทั่วไป (พบมากที่สุด) 
    • สาเหตุหลักมาจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเมื่อยล้า 
    • คิดเป็นกว่า 80% ของผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ 
  2. กลุ่มอาการกดทับเส้นประสาท 
    • มักมีอาการปวดร้าวลงแขนหรือชาร่วมด้วย 
    • สาเหตุจากหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท 
  3. กลุ่มอาการกดทับไขสันหลัง (รุนแรงแต่พบน้อย) 
    • มีอาการชา อ่อนแรง หรือสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อบางส่วน 
    • ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างละเอียดทันที 

ปวดคอ บ่า ไหล่

แนวทางการรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ

1. กลุ่มเฉียบพลันหรือมีสัญญาณอันตราย

เช่น สุขภาพ มีอาการชาร้าวลงแขน ประวัติอุบัติเหตุ หรือโรคประจำตัวทางกล้ามเนื้อกระดูก ➡ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด เช่น X-ray หรือ MRI เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจให้ยา คลายกล้ามเนื้อ หรือทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย

2. กลุ่มปวดทั่วไป (ไม่มีสัญญาณอันตราย)

รักษาได้ด้วยการ

  • พักผ่อนและปรับพฤติกรรม เช่น เปลี่ยนท่านั่ง ทำงานให้เหมาะสม 
  • ทำกายภาพบำบัด เช่น ยืดกล้ามเนื้อ การนวดรักษา หรือการฝังเข็ม 
  • ใช้ยาแก้ปวดหรือคลายกล้ามเนื้อ ภายใต้คำแนะนำแพทย์ 

3. กลุ่มเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องทำกายภาพเฉพาะทาง เช่น

  • การใช้เครื่องประคบร้อน 
  • เครื่อง Shock Wave หรือเลเซอร์เพื่อลดอาการอักเสบ 
  • โปรแกรมออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและบ่า 

สิ่งสำคัญคือ รักษาอย่างต่อเนื่องแม้อาการดีขึ้น เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

วิธีป้องกันอาการปวดคอ บ่า ไหล่สำหรับคนทำงาน

  1. ปรับท่าทางการทำงานให้เหมาะสม 
    • โต๊ะทำงานควรอยู่ระดับเดียวกับสายตา 
    • เก้าอี้ควรมีพนักพิงและที่วางแขน 
    • หลีกเลี่ยงการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์นาน ๆ 
  2. พักสายตาและขยับร่างกายทุก 30–60 นาที
    ลุกขึ้นยืดเหยียดหรือหมุนไหล่เพื่อคลายกล้ามเนื้อ 
  3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
    เช่น การยืดกล้ามเนื้อคอและบ่า โยคะ ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ 
  4. ปรับพฤติกรรมการนอน
    ใช้หมอนที่พอดีกับความสูงของคอ ไม่แข็งหรือเตี้ยเกินไป 

ปัจจัยทางอารมณ์และความเครียดที่ส่งผลต่ออาการปวด

นอกจากพฤติกรรมทางกายแล้ว “ความเครียด” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นที่สำคัญ เมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การดูแลสุขภาพจิต เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การฝึกสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

💬 FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดคอ บ่า ไหล่

Q1: ปวดคอ บ่า ไหล่ เกิดจากอะไร?
ส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งทำงานหรือใช้มือถือในท่าทางเดิมนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือหดเกร็ง

Q2: ต้องไปหาหมอไหมถ้าปวดคอ บ่า ไหล่?
หากมีอาการร้าวลงแขน ชา หรือปวดต่อเนื่องเกิน 6 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

Q3: การออกกำลังกายช่วยได้จริงหรือไม่?
ได้แน่นอน โดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง เช่น ว่ายน้ำหรือโยคะ