ทำความรู้จัก “ยารักษาโรค” ที่แพงที่สุดในโลก ถ้าคุณรู้ราคาจะสู้ไหวหรือเปล่า!?

พาไปทำความรู้จัก ยารักษาโรคที่แพงที่สุด “ในโลก” ที่มีชื่อว่า Hemgenix ถ้าคุณรู้ราคาจะสู้ไหวหรือเปล่า!? กล้าซื้อหรือเปล่าเพื่อรักษาและดูแล สุขภาพ ในราคา 120 ล้านบาท ที่ทำการรักษาแบบ “ยีนบำบัด” บอกเลยใครที่สนใจต้องห้ามพลาดแวะเข้ามารับชมเรื่องราวที่เรานำมาให้ดูในวันนี้ก่อน

ยารักษาโรคที่แพงที่สุด “ในโลก” สู้ไหวไหมถ้าขายในราคา 120 ล้านบาท

ยีนบำบัดหรือ Gene Therapy คือการรักษาด้วย Heredity ที่พื้นฐานมาจากชุดความรู้ที่บอกว่ายีนเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดรูปแบบของมนุษย์ ทำให้แต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน ไปจนถึงมีระบบการทำงานภายในร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าหากใครมีปัญหาในมุมของการทำงานภายในร่างกายบางจุด การเข้าไปแก้ไขที่ยีนก็อาจทำให้ปัญหาลดลงได้

ฟังดูอาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแต่ถ้าพูดกันตามตรงจากการศึกษาตอนนี้เกี่ยวกับยีนบำบัดนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างลึก ซึ่งสิ่งนี้ยังคงเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับวงการการแพทย์ที่ค่อยๆ เก็บแต้มการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้นด้วยหลักการที่สมเหตุสมผล หลายคนก็จับตามองว่ามันอาจเป็น ‘อนาคต’ สำหรับโลกใบนี้ก็ได้

แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นในตอนนี้ที่ยีนบำบัดยังคงเป็นเรื่องใหม่ และไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมานั่นเองที่ทำให้การเข้าถึงการรักษานี้มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งก็ตามมาด้วยราคาที่แพงแสนแพง จนเกินกว่าที่จะหาเงินมาจ่ายได้ อย่างเทคโนโลยีการรักษาล่าสุดที่มีชื่อว่า ‘Hemgenix’ หรือการใช้ยีนบำบัดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียบี (Hemophilia B)

ในสมัยนี้มันได้ครอบครองตำแหน่งเป็น ‘ยารักษาโรคแพงที่สุดในโลก’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตัวเลขของราคานั้นสูงถึง 3.5 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 120 ล้านบาท! ที่มากไปกว่านั้นอีก คือถ้าเราดูรายชื่อยารักษาโรคที่แพงที่สุดในโลกในอันดับต่อมา เราจะพบว่าทั้งหมดล้วนเป็นแบบยีนบำบัด เช่น

• Skysona ยีนบำบัดที่ใช้รักษาโรคทางระบบประสาท neurological disease ราคา3 ล้านดอลลาร์,
• Zynteglo ยีนบำบัดที่ใช้รักษาโรคทางพันธุกรรมเลือด blood genetic disease ราคา8 ล้านดอลลาร์
• Zolgensma ยีนบำบัดที่ใช้รักษา spinal musculoskeletal disease ราคา6 ล้านดอลลาร์

นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการแพทย์ ที่ยาน่าจะเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนนั้นสามารถจับต้องได้ แต่ถ้าว่าในยุคสมัยนี้ยาบางชนิดเริ่มกลายเป็นสิทธิพิเศษสำหรับบางกลุ่มคนแล้ว”  Emond หัวหน้าของ Institute for Clinical and Economic Review หรือ ICER (องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ประเมินต้นทุนการรักษาทางการแพทย์) กล่าว

นอกจากนี้ Institute for Clinical and Economic Review ยังได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมด้วยว่า เหตุผลที่พวกเขามองว่าค่าใช้จ่ายแบบที่ว่านั้นแพงมากไป ไม่ได้เป็นเพราะการคิดเข้าข้างตัวเองเลยสักนิด แต่เกิดจากการคำนวณแล้วว่าต้นทุนของการผลิต ค่าเสียโอกาส ไปจนถึงมูลค่าของประสิทธิภาพในการรักษานั้น ไม่ควรรวมกันแล้วออกมามีราคาสูงขนาดนี้

แต่ที่บริษัทผู้ผลิตสามารถกำหนดราคาที่กล่าวมาได้ทั้งหมด เพราะโรคที่พวกเขากล่าวอ้างว่าสามารถดูแลได้นี้ ไม่ได้มีการรักษาแบบอื่นที่ฟังดูแก้ไขได้ดีเท่านั่นเอง เหมือนเกลุ่มผู้ผลิตพยายามหามาโดยตลาดว่าคาดหวังอะไร โดยตั้งประเด็นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย หลังจากนั้นก็เสนอวิธีการดูแลรูปแบบใหม่ให้กับคนที่ในเวลานั้น ที่เหมือนไม่มีทางไป

ในตอนนี้เลยมีความพยายามจากหลายหน่วยงานที่มีความต้องการอยากจะเข้ามา กำหนดขอบเขตให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาแบบยีนบำบัดได้มากกว่าแต่ก่อน โดยอาจสุดทางถึงขนาดเข้ามาควบคุมราคา ไปจนถึงการสร้างระบบผ่อนจ่ายที่อาจทำให้การรักษาเข้าถึงคนไข้มากขึ้น แต่ถึงกระนั้นความตั้งใจดังกล่าวก็ยังอยู่แค่บนหน้ากระดาษ

เพราะตอนนี้ยีนบำบัดยังคงเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนที่มีเงินมากเท่านั้น ก็ได้แต่ภวานาว่าอนาคตเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นที่พิสูจน์มาช้านานแล้วว่า ระบบประกันสุขภาพที่ดีสำหรับประชาชน สามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้จริงๆ ดังนั้นอย่าปล่อยให้บางการรักษาเป็นตัวเลือกแค่สำหรับใครคนใดคนหนึ่งแบบตอนนี้เลย