Thursday, 27 November 2025

สีของน้ำมูก บอกอะไรได้บ้าง? รู้จักสัญญาณสุขภาพผ่านสีน้ำมูก

27 Nov 2025
1644

น้ำมูกเป็นของเหลวที่หลายคนคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วมันคือหนึ่งในระบบป้องกันตัวเองของร่างกาย น้ำมูกช่วยดักจับเชื้อโรค ฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และรักษาความชุ่มชื้นในโพรงจมูก

สล็อต xo Slotxo

แต่เมื่อใดที่ “สีน้ำมูก” เปลี่ยนไปจากปกติ นั่นหมายความว่าร่างกายกำลังบอกบางอย่างกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ภูมิแพ้ เยื่อบุจมูกระคายเคือง ไปจนถึงอาการอักเสบหรือการติดเชื้อที่ต้องใส่ใจ

บทความนี้จะพาคุณอ่าน “ความหมายของสีน้ำมูกทุกเฉด” เข้าใจสาเหตุ และวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง โดยอิงจากข้อมูลการแพทย์ที่นำเสนอในบทความต้นฉบับที่คุณให้

สีของน้ำมูกและความหมายที่ต้องรู้

น้ำมูกสีใส — ภาวะปกติหรือภูมิแพ้เบื้องต้น

น้ำมูกใสคือสีของน้ำมูกปกติในคนสุขภาพดี โพรงจมูกทำหน้าที่ผลิตเมือกใสเพื่อหล่อลื่นและดักจับสิ่งแปลกปลอมอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุของน้ำมูกใส ได้แก่

  • อากาศแห้ง 
  • อุณหภูมิเปลี่ยนเร็ว 
  • ภูมิแพ้ระยะเริ่มต้น 
  • น้ำในร่างกายไม่เพียงพอ 

ความหมาย: ส่วนใหญ่ไม่อันตราย แต่ถ้ามีน้ำมูกใสไหลทั้งวันร่วมกับคันจมูกหรือจามบ่อย อาจเป็นสัญญาณของภูมิแพ้ได้

วิธีดูแล: ดื่มน้ำมากขึ้น และรักษาความชื้นในอากาศ

สีของน้ำมูก

น้ำมูกสีขาว — เยื่อบุจมูกอักเสบเล็กน้อย

น้ำมูกสีขาวมักเหนียวข้นกว่าน้ำมูกใส แสดงว่าโพรงจมูกเริ่มอุดตัน ทำให้เมือกไหลช้าลงจนข้นขึ้น

มักเกิดจาก

  • เป็นหวัดระยะแรก 
  • ภูมิแพ้กำเริบ 
  • เยื่อบุแห้งจากเครื่องปรับอากาศ 

ข้อควรระวัง: ถ้าสีขาวข้นนานเกิน 1 สัปดาห์ อาจมีอาการอักเสบเล็กน้อย

การดูแล: ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพิ่มความชื้น และพักผ่อนให้มากขึ้น

น้ำมูกสีเหลือง — ระบบภูมิคุ้มกันกำลังทำงาน

เมื่อภูมิคุ้มกันทำงาน เม็ดเลือดขาวจะเข้ามากำจัดเชื้อโรค เมือกที่มีเซลล์เหล่านี้มากขึ้นทำให้เกิด “สีเหลือง”

สีเหลืองไม่ใช่เรื่องอันตรายเสมอไป แต่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังสู้กับเชื้อ เช่น

  • หวัด 
  • การติดเชื้อไวรัส 
  • ไซนัสเริ่มอักเสบ 

ช่วงเวลาที่พบ: 2–3 วันหลังเริ่มเป็นหวัด

วิธีดูแล:

  • ดื่มน้ำมาก ๆ 
  • ล้างจมูก 
  • นอนพักให้พอ 

ควรพบแพทย์ หาก: สีเหลืองอยู่เกิน 10 วัน

น้ำมูกสีเขียว — การติดเชื้อที่เข้มข้นขึ้น

น้ำมูกสีเขียวคือสัญญาณว่าเชื้อโรคจำนวนมากกำลังก่อการอักเสบ เม็ดเลือดขาวจะปล่อยเอนไซม์ที่ทำให้เมือก “เขียวและเหนียว”

สาเหตุที่พบบ่อย

  • ไซนัสอักเสบ 
  • หวัดรุนแรง 
  • ติดเชื้อแบคทีเรียในโพรงจมูก 

วิธีดูแล:

  • แนะนำล้างจมูกเป็นประจำ 
  • พักผ่อนมาก ๆ 
  • หลีกเลี่ยงอากาศเย็นจัด 

ต้องระวัง:

  • หากเจ็บหน้าแก้มหรือหน้าผาก 
  • ปวดกระบอกตา 
  • ไข้สูง 

สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณว่าควรรีบพบแพทย์

น้ำมูกสีส้ม/น้ำตาล — อาจมีเลือดเก่าปนอยู่

เมื่อน้ำมูกเป็นสีส้ม หรือน้ำตาล อาจแปลว่ามีเลือดเก่าที่แห้งแล้วปนมากับเมือก สาเหตุเกิดจาก

  • สั่งน้ำมูกแรง 
  • อากาศแห้งมาก 
  • เยื่อบุจมูกแตก 

แนวทางดูแล สุขภาพ : ดื่มน้ำเยอะขึ้น ใช้เครื่องทำความชื้น หลีกเลี่ยงการแคะจมูก

น้ำมูกสีแดงหรือชมพู — เลือดสดปนเมือก

อาจเกิดจาก

  • การสั่งน้ำมูกแรง 
  • จมูกแห้ง 
  • เส้นเลือดข้างในจมูกแตก 

ถ้าน้ำมูกมีเลือดเพียงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว มักไม่อันตราย แต่ถ้ามีเลือดบ่อยควรพบแพทย์

น้ำมูกสีดำ — สัญญาณผิดปกติรุนแรง

น้ำมูกสีดำพบไม่บ่อย แปลว่าจมูกสัมผัสกับสารระคายเคืองหรือฝุ่นจำนวนมาก เช่น

  • ควันดำ 
  • เขม่าควัน 
  • ฝุ่นในโรงงาน 

แต่ในบางกรณีที่หาได้ยาก อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรารุนแรง ซึ่งต้องรักษาทันที

ทำไมสีน้ำมูกจึงเปลี่ยน? กลไกระบบทางเดินหายใจที่คุณควรรู้

ทำไมสีน้ำมูกจึงเปลี่ยน? กลไกระบบทางเดินหายใจที่คุณควรรู้

เมือกในโพรงจมูกผลิตขึ้นตลอดเวลา เพื่อ

  • กรองสิ่งแปลกปลอม 
  • กำจัดเชื้อโรค 
  • รักษาความชื้น 

เมื่อ

  • เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย 
  • เยื่อบุจมูกระคายเคือง 
  • หรือโพรงจมูกแห้ง 

สีและความข้นของน้ำมูกจะเปลี่ยนทันที ถือเป็น “ตัวชี้วัดอย่างง่าย” ของการอักเสบหรือความผิดปกติภายในทางเดินหายใจ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์? สัญญาณอันตรายที่ต้องใส่ใจ

ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีสีน้ำมูกผิดปกติร่วมกับอาการเหล่านี้

  • ไข้สูงติดต่อกันหลายวัน 
  • ปวดกระบอกตา ปวดหน้า หรือเจ็บแก้ม 
  • น้ำมูกสีเขียวเข้มเกิน 10 วัน 
  • มีกลิ่นเหม็นแรงจากจมูก 
  • หายใจไม่ออกหรือแน่นหน้าอก 
  • น้ำมูกมีเลือดปนอย่างต่อเนื่อง 

สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าอาจมีการอักเสบในระดับที่ต้องได้รับการรักษา

วิธีดูแลตัวเองเมื่อสีน้ำมูกผิดปกติ

  • ดื่มน้ำวันละ 1.5–2 ลิตร ช่วยให้น้ำมูกไม่ข้น 
  • ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อลดเชื้อโรคและฝุ่น 
  • นอนพักผ่อนให้พอ 7–8 ชั่วโมง 
  • หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ 
  • ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง 
  • หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และฝุ่นในอากาศ 

การดูแลอย่างถูกวิธีช่วยลดโอกาสอักเสบเรื้อรังได้มาก

บทสรุป: สีน้ำมูกคือ “ภาษาของร่างกาย” ที่ควรฟังให้เป็น

สีน้ำมูกไม่ใช่เรื่องสกปรกหรือเรื่องเล็ก ๆ อย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่บอกให้รู้ว่าร่างกายกำลังเผชิญอะไรอยู่

  • สีใส = ปกติหรือภูมิแพ้ 
  • สีขาว = อุดตันเล็กน้อย 
  • สีเหลือง = ร่างกายกำลังสู้กับเชื้อ 
  • สีเขียว = การติดเชื้อที่ต้องจับตา 
  • สีแดง/ชมพู = มีเลือดปน 
  • สีดำ = ต้องระวังสารระคายเคือง 

การสังเกตสีน้ำมูกสามารถช่วยให้คุณรู้ทันโรค และดูแลสุขภาพได้เร็วขึ้น