วิจัยชี้คนอาบ “น้ำเย็น” มีโอกาสป่วย น้อยกว่าและมีโอกาสลางานเพราะป่วยน้อยกว่ากลุ่มคนที่อาบ “น้ำอุ่น”

วิจัยชี้คน!!อาบน้ำเย็นมีโอกาสป่วย น้อยกว่าแถมยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าและมีโอกาสลางานเพราะป่วยน้อยกว่ากลุ่มคนที่อาบ “น้ำอุ่น” จากงานวิจัยของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ได้ทำการทดลองกลับกลุ่มอาสาสมัคร ด้วยวิธีการให้อาบน้ำอุ่นและให้อาบน้ำเย็นในระหว่างที่ทำการทดลอง

อาบน้ำเย็นมีโอกาสป่วย น้อยกว่าคนที่อาบน้ำอุ่นจากงานวิจัยของประเทศเนเธอร์แลนด์

คุณเริ่มต้นตอนเช้าด้วยการอาบน้ำอุ่นหรืออาบน้ำเย็น?เป็นประจำทุกๆวัน เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่อาบน้ำในตอนเช้านั้นมักอาบน้ำเย็น เพราะคิดว่าน้ำเย็นนั้นสามารถทำให้ร่างกายสดชื้นและอาจทำให้หายง่วงได้ในยามเช้า แต่ถ้าวันไหนที่อากาศเย็นผู้คนนั้นก็จะอาบน้ำอุ่น จะมีส่วนน้อยมากที่จะอาบน้ำเย็นเพื่อนกระตุ้นให้ร่างกายสดชื้น ส่วนคนที่ไม่ค่อยอาบน้ำในตอนเช้าก็มีเป็นจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นที่เรานำมาในวันนี้คือการอาบน้ำอุ่นหรืออาบน้ำเย็นถึงจะดีต่อสุขภาพ คำถามที่เรากล่าวมาเมื่อกี้คือคำถามที่ยังเป็นคำถามที่หลายๆคนนั้นยังคงค้นหาคำตอบ จากงานวิจัยที่เรานำมาให้ทุกคนได้ดูในวันนี้นั้นได้บอกเอาไว้ว่าการอาบน้ำเย็นนั้นดีมากกว่าอาบน้ำอุ่น เพราะคนที่อาบน้ำอุ่นนั้นมีโอกาสป่วยมากกว่าคนที่อาบน้ำเย็น อิงจากผลงานการวิจัยของนักวิจัยจากประเทศเนเธอร์แลนด์

ทำไมต้องแบ่งว่าเป็นน้ำอุ่น หรือน้ำเย็น?……….

จากผลการศึกษาของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ทางกลุ่มของนักวิจัยทำการทดลองออกมานั้นบอกว่า ผู้คนที่มีอาการเจ็บป่วยแล้วได้ลางานส่วนมากนั้นผู้คนที่ไม่ชอบอาบน้ำเย็น แต่เป็นเพราะพวกเขานั้นอาบน้ำเย็น จากการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 3,000 คน ในการทดลองครั้งนี้นั้นแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่มและแต่ละกลุ่มนั้นจะต้องอาบน้ำอุ่นทุกวันจะแตกต่างกันตรงเวลาที่อาบน้ำดังนี้

• กลุ่มที่หนึ่ง อาบน้ำเย็นปิดท้ายหลังจากอาบน้ำอุ่นจำนวน 30 วินาที
• กลุ่มสอง อาบน้ำเย็นปิดท้ายหลังจากอาบน้ำอุ่นจำนวน 60 วินาที
• กลุ่มสาม อาบน้ำเย็นปิดท้ายหลังจากอาบน้ำอุ่นจำนวน 90 วินาที
• กลุ่มสี่ อาบได้เพียงน้ำอุ่น

หลังจากติดตามผลการทดลองของกลุ่มอาสาสมัครเป็นระยะเวลาสามเดือนพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่อาบน้ำเย็นปิดท้ายการจากอาบน้ำอุ่นนั้นมีอันตราการลาป่วยในเวลาทำงานลดลงมากถึง 29 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเหตุผลที่น้ำเย็นทำให้กลุ่มอาสาสมัครป่วยน้อยลงนั้นมาจากอะไรก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนออกมา จะมีเพียงก็แค่งานวิจัยบางชิ้นที่ออกมาบอกว่า การอาบน้ำเย็นนั้นมีประโยชน์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนอีกงานวิจัยของสาธารณรัฐเช็กนั้นก็ยังได้ให้ข้อคิดจากงานวิจัยของเชขาเพิ่มเติมอีกว่า หนุ่มนักกีฬาแช่น้ำเย็นสามครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์เป็นเวลาสองเดือน นักวิจัยพบว่าเขานั้นมีระบบภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

น้ำเย็นนั้นน่าจะมีคุณสมบัติไปช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก และเมื่อมนุษย์อาบน้ำเย็นหรือลงไปแช่ในน้ำเย็น และเจ้าฮอร์โมน norepinephrine จะเพิ่มขึ้นซึ่งมันจะไปทำให้อันตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นการเอาร่างกายลงไปแช่ในน้ำเย็นมันจึงเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น เพราะเมื่อร่างกายของมนุษย์นั้นพบเจอกับน้ำเย็นมันจะส่งผลให้เลือดในร่างกายนั้นไหลเวียนดีไปตามส่วนต่างๆ หากทุกคนเคยสังเกตหลังจากที่อาบน้ำเย็นเสร็จใหม่ๆนั้นจะเห็นได้ว่า ร่างกายจะอุ่นนขึ้นมากว่าเดิมเพราะเลือดนั้นไหลเวียนไปส่วนต่างๆที่บริเวณผิวหนังมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางนักวิจัยบางคนจึงคาดการณ์ว่าการอาบน้ำเย็นนั้นสามารถปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดได้ จากกรณีการศึกษาของกลุ่มอาสาสมัครที่ลงแช่น้ำเย็นหลังจากที่ออกกำลังกายมาประมาณหนึ่งเดือน ผลการศึกษานั้นออกมาว่า การไหลเวียนของเลือดไปและกลับจากกล้ามเนื้อดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งหลักฐานเกี่ยวกับการอาบน้ำเย็นที่เชื่อมโยงกับการลดน้ำหนักโดยบอกว่า คนที่ต้องการอยากลดน้ำหนักนั้นหากลงไปแช่ในน้ำเย็นที่มีอุณหภูมิ 14องศาเซลเซียล นั้นสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานเพิ่มสูงขึ้นมาได้ประมาณ 350 เปอร์เซ็นต์ เพราะ Metabolism เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่ร่างกายนั้นแปลงสิ่งที่กินและสิ่งที่ดื่มออกมาให้เป็นพลังงาน ดังนั้นการเผาผลาญที่สูงขึ้นจะเท่ากับการเผาผลาญพลังงานที่มากขึ้น

การอาบน้ำเย็นไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ในด้านของสุขภาพจิตใจการอาบน้ำเย็นก็ยังสามารถช่วยได้เช่นกัน..

การอาบน้ำเย็นนั้นนอกจากจะทำให้สุขภาพกายแข็งแรงสุขภาพจิตใจก็ยังดีขึ้นเนื่องจากมันเกิดความตื่นตัวทางจิตใจเพิ่มขึ้น เพราะนี้มันมาจากการกระตุ้นการสนองการต่อสู้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ดังนั้นการอาบน้ำเย็นจึงเหมือนกันว่าไปส่งแรงกระตุ้นทางไฟฟ้าจำนวนมากมาย ส่งจากปลายประสาทส่วนปลายไปยังสมอง การกระทำดังกล่าวนั้นคือผลการต้านอาการซึมเศร้า เช่นกันกับผู้สูงอายุที่นำน้ำเย็นมาลูส่วนต่างๆบนร่างกายมันจึงถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการปรับปรุงการทำงานของสมอง