อนาคตโลกจะเป็นของผู้ชาย? จริงหรือไม่!! เมื่อผู้หญิงอาจหายไป จากการ “ทำแท้งเลือกเพศ”

Lifestyleจริงหรือไม่!! เมื่อผู้หญิงอาจหายไป มากถึงสี่ล้านเจ็ดแสนคนในปีอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เป็นผลพวงมาจากการ “ทำแท้ง” เลือกเพศเด็กที่จะเกิดมาและทศวรรษข้างหน้า “ผู้ชาย” จะเป็นคนครอบครองโลก?เชื่อว่าหลายคนนั้นต้องคิดไม่ตกแน่นอนกับคำถามที่เรากล่าวมาเมื่อตอนต้น แม้ว่าในตอนนี้ประชากรเพศหญิงและชายจะสมดุลกันก็ตาม

เมื่อผู้หญิงอาจหายไป 4.7 ล้านคน ภายในปี 2030 โลกจะเป็นอย่างไร

ว่ากันว่าทศวรรษข้างหน้าโลกของเรานั้นจะไม่มีผู้หญิง!! แม้ว่าในตอนนี้ประชากรของผู้หญิงปละผู้ชายจะเท่ากันก็ตาม จากสถิติที่พึ่งถูกพูดถึงนั้นบอกว่ามนุษย์เรานั้นกำลังเผชิญหน้ากับจำนวนประชากรที่ลดลง เนื่องจากว่าการเกิดและการตายนั้นไม่สมดุลกันเริ่มมาตั้งแต่ปี 2010 แต่สถิติที่ว่านั้นไม่ได้รวมไปถึงทุกประเทศ เพราะบางประเทศฝั่งเอเชียนั้นประชากรคนเกิดและคนตายนั้นยังปกติยังสมดุลสามารถขยายตัวได้อยู่ แต่ถ้าว่าเพศที่เกิดขึ้นมาส่วนใหญ่นั้นไม่สมดุลกัน เพราะจำนวนผู้ชายนั้นมีมากกว่าผู้หญิง สืบเนื่องมาจากหลายๆประเทศสามารถ “ทำแท้งเลือกเพศ” ลูกที่จะเกิดขึ้นมาได้และการทำร้ายทารกเพศหญิงให้ไม่ได้เกิดมาตั้งแต่แรกได้ เนื่องจากวัฒนธรรมบางประเทศนั้นมีอคติทางเพศค่อนข้างรุนแรงซึ่งพวกเขานั้นนิยมชมชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวโดยเฉพาะในประเทศจีนและอินเดีย และมีอีกถึง 12 ประเทศมีสัดส่วนเพศของทารกที่ผิดปกติ

อิงจากงานวิจัยที่พึ่งถูกเผยแพร่ออกมาผ่านวารสาร BMJ Global Health ที่รวบรวมสถิติข้อมูลจากการเกิดของทารกน้อยจำนวนสามพันสองร้อยหกสิบล้านคนจากสองร้อยสี่พื้นที่ ได้ผลลัพธ์ออกมาว่า ภายในปี 2030 โลกมนุษย์ของเราจะต้องศูนย์เสียเด็กผู้หญิง และตัวอ่อนผู้หญิงในครรภ์ไปมากถึงสี่ล้านเจ็ดแสนคน ส่วนอีกสิบเจ็ดประเทศมีแนวโน้มจะเดินรอยตามในอนาคตส่วนอีกสิบสองประเทศมีอัตราการเกิดของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่แตกต่างกันที่ไม่ปกติ คือ

• จีน
• อินเดีย
• แอลเบเนีย
• อาร์เมเนีย
• อาเซอร์ไบจาน
• เวียดนาม

หากอัตราการเกิดของเด็กทารกยังเป็นแบบนี้ต่อไปนักวิจัยคาดการณ์ว่าประมาณปี 2100 จะต้องมีการทำแท้งตัวอ่อนหญิงหรือทารกหญิงที่ตั้งแต่แรกอยู่ในครรภ์มากถึง 5.7 ล้านคน และมันก็จะส่งผลกระทบเรื่องประชากรโลกที่อาจมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัดเจน เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองคุณพ่อ และคุณแม่ที่อยากทราบเพศของลูกที่อยู่ในครรภ์ถูกกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว ส่วนครึ่งทศวรรษที่ผ่านมานี้คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวส่งผลทำให้ทารกเพศหญิงนั้นไม่สามารถเกิดได้ประมาณ 25-45 ล้านคน

การทำแท้งเลือกเพศส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศจีนและประเทศอินเดีย

เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาทาง (UNFPA) นั้นได้เปิดเผยข้อมูลว่ามีการทำแท้งเอาทารกเพศหญิงออกทำให้ไม่ได้เกิดประมาณ 1.18 ล้านคนต่อปี ซึ่งจำนวน 666,300 รายอยู่ที่ประเทศจีน ส่วนอีกจำนวน 461,500 อยู่ที่ประเทศอินเดียคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาแล้ว ทั้งสองประเทศนั้นมีอัตราการทำแท้งเลือกเพศลูกสูงมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันคือเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากที่สุดในโลก จนส่งผลให้ทั้งสองประเทศในตอนนี้นั้นผู้ชายประสบปัญหาแคลนคู่แต่งงานคู่สมรส และนำไปสู่ปัญหาสังคมด้านต่างๆ

ส่วนสาเหตุที่หลายวัฒนธรรมต้องการมีทายาทเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเป็นเพราะว่าระบบ “สืบสกุล” ของพวกเขานั้นพร่ำสอนกันมาว่าผู้ชายคือช้างเท้าหน้าและต้องเป็นหัวหน้าคครอบครัวต้องดูแลครอบครัว ส่วนลูกผู้หญิงนั้นหลังจากที่มีคู่ครองและแต่งงานไปแล้วก็จำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของสามี ส่วนฝั่งทางอินเดียนั้นผู้หญิง เป็นเพราะประเพณีที่ผู้หญิงนั้นจะต้องเป็นคนหอบสินสอดสินสมรสไปขอผู้ชายแต่งงาน ซึ่งนี้มันเลยทำให้พวกเขานั้นต้องการลูกชายมากกว่าลูกสาว หลายๆครอบครัวจึงให้ความสำคัญกับการมีลูกชายมากกว่า และแม้ว่าทางการของหลายๆประเทศนั้นจะพยายามออกนโยบายเพื่อจูงใจให้ประชาชนมีลูกสาว แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล

ในปี 2020 ที่ผ่านมานั้นได้มีข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจเปิดเผยออกมาว่าไม่ใช่แค่ 2 ประเทศเท่านั้นที่ต้องการลูกชาย แต่ถ้าว่าเวียดนามก็คือหนึ่งในประเทศที่ทำแท้งเอาลูกสาวออกมากกว่า 40,800 รายต่อปี จนทำให้ประเทศนั้นพบเจอกับปัญหาความไม่สมดุลทางด้านประชากรอย่างชัดเจน เรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำแท้งเพียงอย่างเดียว เพราะว่าการผสมเทียม ฝังตัวอ่อนในมดลูกหรือการทำเด็กหลอดแก้วที่สามารถเลือกเพศลูกก็คือหนึ่งในปัญหา และถ้าหากว่าโลกของเรานั้นมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้น มันอาจสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงให้โลกของเราได้ในระยะยาวเช่น

• การค้าประเวณีผิดกฎหมาย
• การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ
• การแต่งงานกับเจ้าสาวเด็ก
• การคุกคามทางเพศอาจเพิ่มขึ้นได้