“โรคพุ่มพวง” หรือชื่อทางการว่า โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus – SLE) เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งแทนที่จะป้องกันร่างกาย กลับ “ทำลายเนื้อเยื่อของตัวเอง” ส่งผลต่อหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ข้อ ไต หัวใจ และสมอง แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ SLE เป็นโรคที่รักษายาก ต้องดูแลตลอดชีวิต และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคพุ่มพวงเกิดจากอะไร
สาเหตุของโรคพุ่มพวงยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่แพทย์พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ ได้แก่
1. การใช้ยาและสารเคมีบางชนิด
ยาบางกลุ่ม เช่น ยาควบคุมความดันโลหิต ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม อาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานมากเกินไป จึงพบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

3. พันธุกรรม
หากมีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง จะมีโอกาสเป็นโรคพุ่มพวงมากกว่าคนทั่วไป
4. ปฏิกิริยาต่อแสงแดด
ผู้ที่มีผิวไวต่อแสง เมื่อโดนรังสีอัลตราไวโอเลตอาจเกิดการอักเสบที่ผิวหนังและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำร้ายตัวเอง
ทำไมถึงเรียกว่า “โรคพุ่มพวง”
ชื่อ “โรคพุ่มพวง” มาจาก พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังของไทย ผู้ซึ่งป่วยเป็นโรคนี้และเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคในปี พ.ศ. 2535
  เหตุการณ์นี้สร้างความตระหนักและทำให้ชื่อ “โรคพุ่มพวง” กลายเป็นชื่อเรียกติดปากของโรค SLE ในประเทศไทย
อาการของโรคพุ่มพวง
โรคพุ่มพวงมีอาการหลากหลาย และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเล็กน้อย ขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นอวัยวะล้มเหลว
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ผื่นแดงบริเวณใบหน้าเป็นรูป “ผีเสื้อ”
- ผื่นขึ้นตามแขน ขา หรือหลังเมื่อโดนแดด
- อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้
- ปวดข้อ ข้ออักเสบ โดยเฉพาะข้อมือและหัวเข่า
- ซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ
- แผลในปากหรือจมูก
- ไตอักเสบ (ตรวจปัสสาวะพบโปรตีน)
- อาการทางระบบประสาท เช่น ชัก หรือความจำเสื่อม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยยืนยัน
- พบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (ANA)
- ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (Anti-dsDNA)
- พบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี
หากมีอาการเข้าข่าย 4 ข้อขึ้นไป ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคพุ่มพวง
ผู้ป่วยโรคพุ่มพวงอาจเกิดความผิดปกติได้ในหลายระบบของร่างกาย เช่น
1. หัวใจและสมอง
- หลอดเลือดหัวใจตีบ
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- หลอดเลือดสมองอุดตัน
- ความจำเสื่อมจากการอักเสบของสมอง
2. ระบบเลือด
- ภาวะโลหิตจาง
- เกล็ดเลือดต่ำ
- การติดเชื้อในกระแสเลือด
3. ระบบไตและปอด
- ไตอักเสบเรื้อรังหรือไตวาย
- เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ทำให้หายใจลำบาก
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงรุนแรง หากไม่ดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องอาจถึงแก่ชีวิตได้
โรคพุ่มพวงรักษาได้ไหม
แม้โรคพุ่มพวงจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถ ควบคุมอาการและชะลอการลุกลามของโรค ได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่อง
แนวทางการรักษา
- ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ หรือยากลุ่มไฮดรอกซีคลอโรควิน
- ยาต้านการอักเสบ เพื่อลดอาการปวดข้อและบวม
- ยาควบคุมความดัน สำหรับผู้ที่มีภาวะไตอักเสบ
- การติดตามอาการสม่ำเสมอ เพื่อปรับยาให้เหมาะสม
การดูแลตัวเองของผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดด SPF สูง
- พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- พบแพทย์ตามนัดและไม่หยุดยาเอง
โรคพุ่มพวงป้องกันได้ไหม
โรคพุ่มพวงเป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
  แต่เราสามารถ ลดความเสี่ยง ได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดดจัด ความเครียด และการใช้ยาที่ไม่จำเป็น
ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยโรคพุ่มพวง
- อย่าหยุดยาหรือปรับยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในช่วงที่โรคยังไม่สงบ
- หมั่นตรวจร่างกายประจำปีและตรวจเลือดตามแพทย์สั่ง
- หากมีไข้ ปวดข้อ หรือผื่นแดงกำเริบ ควรรีบพบแพทย์ทันที
สรุป: โรคพุ่มพวงไม่ได้น่ากลัว หากเข้าใจและดูแลอย่างถูกวิธี
โรคพุ่มพวง (SLE) สุขภาพ อาจเป็นโรคที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
  ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ และลดความรุนแรงของโรคได้มาก
สิ่งสำคัญคือ “อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนของร่างกาย” และรีบเข้ารับการตรวจเมื่อมีอาการเข้าข่าย เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคพุ่มพวง
Q: โรคพุ่มพวงติดต่อได้ไหม?
  A: ไม่ติดต่อครับ เป็นโรคจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้
Q: โรคพุ่มพวงหายขาดได้หรือไม่?
  A: ไม่สามารถหายขาดได้ แต่ควบคุมอาการให้อยู่ในระดับปกติได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่อง
Q: ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายจริงไหม?
  A: ใช่ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานเกินปกติ
Q: คนเป็นโรคพุ่มพวงตั้งครรภ์ได้ไหม?
  A: ทำได้แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และควรตั้งครรภ์ในช่วงที่โรคสงบเท่านั้น
สนับสนุนโดย
UFABET | UFA365 | UFABET เข้าสู่ระบบ | UFABET เว็บตรง | สล็อต เว็บตรง | SLOTXO | สล็อต | PG SLOT | สล็อต XO | สล็อต | JOKER123 | สล็อต เว็บตรง | สล็อตโจ๊กเกอร์ | Gclub | จีคลับ | Sbobet | Sbobet9
 
 






