Saturday, 8 November 2025

กำเนิดกาฬโรค The Black Death มหันตภัยสีดำที่คร่าชีวิตคนนับร้อยล้าน

เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายคนอาจนึกถึงสงครามโลก ภัยธรรมชาติ หรืออาวุธนิวเคลียร์ แต่แท้จริงแล้ว “โรคระบาด” คือสิ่งที่ทำลายล้างชีวิตมนุษย์มากที่สุด และหนึ่งในโรคที่น่าสะพรึงที่สุดในโลกก็คือ “กาฬโรค” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Black Death” โรคระบาดที่ทำให้ผู้คนล้มตายกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก จนเกือบทำให้สังคมมนุษย์ถึงคราวล่มสลาย

สล็อต xo Slotxo

พาหะของมรณะสีดำ กำเนิดจากหมัดและหนู

ต้นตอของกาฬโรคเกิดจากแบคทีเรียชื่อ เยอร์ซิเนีย เปสติส (Yersinia pestis) ซึ่งตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศส อเล็กซองเดร แยร์แซง ผู้ค้นพบเชื้อนี้ในปี 1894 แบคทีเรียชนิดนี้ติดต่อจากสัตว์สู่คนผ่าน “หมัดที่อาศัยอยู่บนตัวหนู” เมื่อหมัดกัดคน เชื้อจะแพร่เข้าสู่ร่างกายทางแผล และยังสามารถติดต่อได้จากการหายใจ ไอ จาม หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ

ในยุคกลางที่สุขอนามัยยังต่ำ บ้านเมืองแออัดและเต็มไปด้วยหนู การแพร่ระบาดจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากหมัดสู่คน และจากคนสู่คน จนกลายเป็นหายนะระดับโลก

อาการของผู้ติดเชื้อกาฬโรค

ผู้ที่ติดเชื้อจะเริ่มมีอาการหลังถูกหมัดกัดประมาณ 2–7 วัน เริ่มจากอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อย และอ่อนเพลีย ก่อนที่เชื้อจะลุกลามอย่างรุนแรงจนเกิดภาวะต่าง ๆ เช่น

  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ บวมแดงและเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบหรือรักแร้ 
  • เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ความดันตก เลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ และเสียชีวิตภายในไม่กี่วัน 
  • เชื้อเข้าปอด ทำให้เป็น “กาฬโรคปอดบวม” ไอเป็นเลือด และเสียชีวิตภายใน 1–3 วัน 

คำว่า “Black Death” มาจากอาการขั้นสุดท้ายของผู้ป่วย ที่ผิวหนังจะกลายเป็นสีคล้ำจากเลือดที่คั่งใต้ผิวหนัง และยังสะท้อนถึงความสิ้นหวังและความเศร้าของผู้คนในยุคนั้น

กำเนิดกาฬโรค The Black Death

การระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรคในประวัติศาสตร์

1. Plague of Justinian (ค.ศ. 541–542)

การระบาดครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในจักรวรรดิไบแซนไทน์ คร่าชีวิตผู้คนวันละกว่าหมื่นคน และแพร่ข้ามทวีปจากอียิปต์ไปยังยุโรป ใช้เวลาระบาดยาวนานกว่า 50 ปี ก่อนจะสงบลง

2. The Great Pestilence (ค.ศ. 1346–1353)

นี่คือการระบาดที่รุนแรงที่สุดในยุคกลาง และเป็นต้นกำเนิดของชื่อ “Black Death” โดยคร่าชีวิตชาวยุโรปไปกว่า หนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด หรือราว 25 ล้านคนทั่วทวีป

โรคเริ่มต้นจากจีนและอินเดีย แพร่ตามเส้นทางสายไหมเข้าสู่ยุโรปและแอฟริกา เมืองใหญ่อย่างฟลอเรนซ์ ลอนดอน และปารีสกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนตายวันละนับพัน สังคมยุโรปตกอยู่ในความสิ้นหวัง และนี่คือยุคที่ “หมออีกา (Plague Doctor)” ถือกำเนิดขึ้น เพื่อรับมือกับโรคร้ายด้วยชุดป้องกันแปลกตา

3. การระบาดครั้งสุดท้าย (ค.ศ. 1855–1894)

เริ่มต้นที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และแพร่ไปทั่วโลก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 12 ล้านคน
โชคดีที่ในช่วงนี้เอง แพทย์ อเล็กซองเดร แยร์แซง ได้ค้นพบเชื้อกาฬโรคและพัฒนาวัคซีน ทำให้การระบาดครั้งนี้กลายเป็น “ครั้งสุดท้าย” ของกาฬโรคในระดับโลก

หมออีกา: นักบุญผู้กล้า หรือยมทูตในคราบแพทย์

“หมออีกา” หรือ Plague Doctor คือสัญลักษณ์แห่งยุค Black Death พวกเขาสวมชุดคลุมยาวหนา เคลือบด้วยขี้ผึ้ง และใส่หน้ากากจงอยคล้ายอีกา ภายในยัดด้วยสมุนไพร เช่น สะระแหน่ การบูร และกานพลู เพื่อกรองกลิ่นและกันเชื้อโรค

ประวัติศาสตร์ แม้จะไม่มีวิธีรักษาที่แท้จริง หมออีกาใช้วิธี “ปรับสมดุลของเลือด” ด้วยการเจาะเลือดหรือใช้ปลิงดูดเลือดออก และใช้ไม้เท้าตรวจคนไข้แทนการสัมผัสตรง ๆ พวกเขาไม่เพียงรักษาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่จดบันทึกจำนวนผู้เสียชีวิต และจัดการพินัยกรรมของผู้ป่วย เป็นอาชีพที่เสี่ยงและได้รับค่าตอบแทนสูงในยุคนั้น

เมื่อศรัทธากลายเป็นการลงทัณฑ์จากพระเจ้า

ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า ผู้คนเชื่อว่ากาฬโรคเป็น “การลงโทษจากพระเจ้า” ที่มนุษย์ทำบาปหนาหนัก จึงเกิดกระแสการล่าคนที่ถูกมองว่า “ไม่บริสุทธิ์” เช่น การสังหารหมู่ชาวยิวในยุโรปช่วงปี 1348–1349 เพราะเชื่อว่าเป็นผู้แพร่เชื้อโรค นับเป็นอีกด้านหนึ่งของหายนะที่เกิดจากความไม่รู้และความกลัว

กำเนิดกาฬโรค The Black Death

กาฬโรคในประเทศไทย

ประเทศไทยเคยมีรายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งแรกในปี พ.ศ. 2447 ที่จังหวัดธนบุรี เชื่อว่ามาจากหนูบนเรือสินค้าจากเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ต่อมามีรายงานระบาดที่จังหวัดนครปฐมในปี พ.ศ. 2456 และครั้งสุดท้ายที่นครสวรรค์ในปี พ.ศ. 2495 หลังจากนั้นประเทศไทยไม่พบการระบาดอีก

บทสรุป: บทเรียนจากยมทูตสีดำ

“กาฬโรค” ไม่ได้เพียงเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่สุดของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญของโลกทางการแพทย์และสังคม มันเผยให้เห็นว่า ความกลัวและความไม่รู้สามารถทำลายล้างได้มากพอ ๆ กับเชื้อโรคเอง และในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้มนุษยชาติพัฒนาวิทยาการแพทย์ สุขอนามัย และการควบคุมโรคให้ก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาล

แม้กาฬโรคจะกลายเป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในวัฒนธรรม มนุษยวิทยา และจิตใจของผู้คนทั่วโลกในฐานะ “มรณะสีดำ” ที่เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล