Saturday, 23 November 2024

วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน Casma-Sechin culture อารยธรรมลึกลับที่เป็นผู้สร้าง “หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์” ที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา

วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน Casma-Sechin culture หรือที่เรารู้จักกันในนามอารยธรรมลึกลับ ที่เป็นผู้สร้าง “หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์” ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทวีปอเมริกา แถมว่าหอสังเกตการณ์ตัวนนี้ยังมีเรื่องที่ทำให้มนุษย์ประหลาดใจหลายๆเรื่องอย่างเช่นวันเวลา และฤดูกาลว่าแต่ความเป็นมาที่แท้จริงของหอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์นี้จะมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจบ้างเดี่ยวตามมาดูพร้อมกันที่ด้านล่างนี้ได้เลย

สล็อต xo Slotxo

วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน อารยธรรมแปลกประหลาดสุดน่าทึ่งที่สามารถสร้างโบราณสถานให้คนทั้งโลกตื่นตาตื่นใจ

วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน-สุดลึกลับ

เล่าย้อนกับไปเมื่อประมาณ 2,300 ปีที่แล้ว ซึ่งช่วงปีที่เราว่ามาเมื่อข้างต้นนี้คือเป็นช่วงก่อนที่ “จักรวรรดิอินคา” จะเจริญรุ่งเรืองทางอำนาจในแถบอเมริกันกลาง และในช่วงนั้นคือช่วงที่มีอารยธรรมลึกลับเกิดขึ้นมาใหม่ที่ประเทศเปรู และอารยธรรมลึกลับที่เราว่ามานั้นไม่ทราบว่าเกินขึ้นมาจากชนเผ่าใด ทราบเพียงแต่ว่าพวกเขานั้นได้ทำการรังสรรค์ผลงานสุดอลังการอย่าง “หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์” ขึ้นมาและสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นสามารถทำนายวันเวลาในอนาคตแถมยังคาดเดาสภาพอากาศล่วงหน้าและเหตุการณ์สำคัญต่างๆทางดาราศาสตร์ได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

วัฒนธรรมของอารยธรรมลึกลับ

อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบแดงที่ทางองค์การยูเนสโกได้ขอจดขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั้นก็คือ Chankillo Astronomical Complex  หรือที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ “กลุ่มอาคารทางดาราศาสตร์ชานกีโญ” โบราณสถานทางดาราศาสตร์ที่ถือว่าเป็นหนึ่งสิ่งสันสร้างสุดสวยงามจากฝีมือของมนุษย์ ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนั้น มีความเก่าแก่ไม่เท่า Stonehenge สโตนเฮนจ์ในสหราชอาณาจักร ก็ยังถือว่าสวยงามและน่ายกย่อง กลุ่มอาคารทางดาราศาสตร์ที่ว่ามาเมื่อตอนต้นนั้นอยู่ภายในกำแพงที่มีป้อมปราการแน่นหนาโอบล้อมถึง 3 ชั้น และรอบๆนั้นรายล้อมไปวิหารบนเนินเขาสูง ส่วนลึกภายในตัววิหารแห่งนี้นั้นมีหอดูดาวซ่อนอยู่ภายใน และมีศูนย์กลางการปกครองดูแลพื้นที่ตั้งอยู่ที่ในนนั้นด้วย ส่วนความสวยงามที่ดึงดูดสายตามากที่สุดนั้นก็คือ “หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์” ที่ตั้งตระหงาดอยู่บนสันเขาบนกำแพงชั้นนอก

อารยธรรมลึกลับผู้สร้างหอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์

รูปลักษณ์ภายนอกของหอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ที่เราว่ามานั้นดูเกมือนกับหอคอยที่มีจำนวน 13 ที่ตั้งแถวตามความยาวจากทิศเหนือลงไปถึงทิศใต้ความยาวประมาณสามร้อยเมตร ซึ่งมันเหมือนกับซี่ฟันที่เรียงอยู่ในปากของเรา แต่จะมีความแตกต่างตรงที่ห่างกันเพียงเล็กน้อย และช่องเล็กน้อยที่เหลือระยะห่างเอาไว้นี้คือ ช่องที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะส่องผ่านได้ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก แสงของดวงอาทิตย์นั้นก็จะสาดส่องลอดผ่านช่องเล็กๆน้อยจากหอคอยออกมา โดยตำแหน่งที่แสงจะส่องลอดผ่านนี้จะเลื่อนไปเรื่อย ๆ ตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามวันและเดือนของแต่ละปี ยกตัวอย่างเช่น

วันครีษมายัน (summer solstice)

  • ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางขวาของหอคอยด้านขวาสุด

วันเหมายัน (winter solstice)

  • ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางซ้ายของหอคอยด้านซ้ายสุด

วันศารทวิษุวัต (autumnal equinox)

  • ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงช่องระหว่างหอคอยที่ 6 และ 7

นักดาราศาสตร์สามารถไปดูได้ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นและตกตอนไหนและคาดเดาฤดูการได้ที่โบราณสถานสุดสำคัญที่เราวามาเมื่อตอนต้นได้จากทั้งจากฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแนวหอคอย ส่วนวิธีการไปดูนั้นต้องไปยืนดูตรงฐานที่เป็นจุดสำคัญที่คนสมัยก่อนนั้นได้ทำการสร้างเอาไว้ ตรงด้านล่างของแนวสันเขาแล้วจึงสามารถนำข้อมูลตำแหน่งของดวงอาทิตย์มาทำนายการเริ่มต้นหรือสิ้นสุดฤดูกาลต่าง ๆ ล่วงหน้าได้ประมาณ 2-3 วัน

วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน-ของชนเผาลึกลับ

จากผลการศึกษาที่ได้ทำการขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นทางการเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้คาดการว่าน่าจะเพิ่งมีขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 21 ซึ่งมันแสดงให้เราเห็นว่า กลุ่มอาคารทางดาราศาสตร์ชานกีโญที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้นั้น ถูกสร้างขึ้นมาประมาณยุคไม่เกิน 400 ปีก่อนคริสตกาล และคาดว่ามันถูกปล่อยทิ้งไปในช่วงศตวรรษที่ 1 ซึ่งนักโบราณคดียังไม่สามารถระบุได้อย่างเช่นชัดว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงเป็นแบบนั้น ส่วนชื่อ “Casma-Sechin culture” นี้นั้นเป็นชื่อที่นักโบราณคดีที่มาจากประเทศเปรูเป็นคิดให้ ซึ่ง “วัฒนธรรมคาสมา-เซชิน” นี้มีความหมายตรงตัวตามชื่อของแม่น้ำสองสายที่ไหลขนานกันทั้งสองด้านของพื้นที่อู่อารยธรรมโบราณ ส่วนร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้เห็นนั้นบ่งบอกว่า สถานที่แห่งนี้นั้นเคยทาสีเหลืองสด และสีเนื้อที่ออกเหลืองอมน้ำตาล และสีขาว บนกำแพงกับผนังอาคารรอบๆ พร้อมกับตกแต่งลวดลายพร้อมกับประทับลายนิ้วมือลงไปบนผนัง ทางด้านนักกโบราณคดีนั้นคาดว่า ชนเผ่าที่เคยอยู่ผืนแผ่นดินอชแห่งนี้นั้นอาจเป็นชนเผาที่บูชาดวงอาทิตย์เหมือนชาวอินคา และอาจมีการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อบูชาสุริยเทพเหลือทิ้งเอาไว้ให้เห็นเป็นหหลักฐาน ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นได้จากการสร้างขั้นบันไดขึ้นไปบนแนวหอคอย เพื่อเข้าใกล้ท้องฟ้าให้มากที่สุด บอกเลยว่าค้นพบอารยธรรมลึกลับแห่งนี้นั้นถือว่า เป็นเรื่องที่ประวัติศาสตร์โลกนั้นต้องทึ่งในความสามารถและความรู้ของคนสมัยโบราณในอดีต ที่ทีความเก่งกาจความรู้ที่หาเรื่องเปรียบเทียบไม่ได้ที่สร้างสามารถสร้าง “หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์” ขึ้นมาทำนายวันเวลาล่วงหน้าได้อย่างไม่มีผิดพลาด