Tuesday, 26 November 2024

เล่าเรื่องลึกลับสุดโหดยุคกลางของยุโรป “ปราบแวมไพร์สยอง”

ปราบแวมไพร์สยอง หินยัดปาก  ตอกกระดูก ตัดหัวประจานสุดโหด!! เล่าเรื่องลึกลับสุดโหดยุคกลางของยุโรปที่เกิดขึ้นเพราะความ “กลัว” ผู้คนก็เลยได้คิดหาวิธีทำลายซากศพให้หมดสภาพและไม่สามารถฟื้นคืนชีพแบบ “ผีดิบ” มาแผลงแผลงฤทธิ์ใส่คนเป็นได้อีกต่อไป

สล็อต xo Slotxo

ปราบแวมไพร์สยอง หินยัดปาก  ตอกกระดูก ตัดหัวประจานสุดโหด!! เพราะความกลัว”แวมไพร์

ปราบแวมไพร์สยอง-หินยัดปาก

ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2016 นั้นได้มีข่าวออกมาว่ายักโบราณคดีนั้นได้ไปขุดพบเจอศพสภาพแปลกประหลาด 3 แห่งในสุสานหมู่บ้าน Górzyca ที่มีชายแดนติดกับประเทศเยอรมนี Krzysztof Socha จากพิพิธภัณฑ์ Kostrzyn Fortress เปิดเผยว่าศพทั้ง 3 ร่าง ที่พวกเขานั้นพบเจอคาดการณ์ว่า น่าจะถูกฝั่งเอาไว้ช่วงศตวรรษที่ 13 หรือ 14 ซึ่งสภาพศพที่พบเจอนั้นมีความแตกต่างอย่าน่าขนหัวลุก อีกทั้งยังถูกฝั่งเอาไว้ที่ชายขอบสุสาน 2 ใน 3 ศพพบว่าถูกตัดศีรษะ และตัดขาวางสลับข้างกันเอาไว้ ส่วนอีก 1 ศพที่พวกเขานั้นพบเจอคือหญิงชรา ที่มีถูกพลิกคว่ำร่างเข้าหาดิน ส่วนหัวเข่าถูกทุบให้แตก ส่วนอีก 2 ใน 3 ศพนั้นถูกตอกกระดูกสันหลังติดเอาไว้ที่พื้นดินเหมือนต้องการยึดร่างพวกเขาให้ติดอยู่กับดินแบบไม่ต้องลุกขึ้นมายังไงยังงั้น

เพราะความกลัว”แวมไพร์”

ย้อนกลับไปอีกในปี 2006 ในสุสานเกาะ Lazzaretto Nuovo แห่งเมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี ทางนักโบราณคดีก็ได้ไปขุดพบเจอศพหญิงชราที่มีสภาพแปลกประหลาดจากศตวรรษที่ 16 เช่นกัน Matteo Borrini นั้นคือผู้ที่พบเจอ ส่วนศพอื่นๆที่พวกเขานั้นพบเจอน่าจะมีสาเหตุการตายมาจากโรคระบาดและได้ถูกนำร่างลงไปฝั่งในดินแบบธรรมดา แต่ถ้าว่าหญิงชราคนนี้นั้นกลับถูกนำร่างไปฝั่งอย่างไม่ธรรมดาเพราะมีอิฐยัดเอาไว้ที่ปาก และการกระทำดังกล่าวนั้นน่าจะมาจากการที่ผู้คนนั้น “กลัวผี” ที่จะฟื้นคืนชีพออกมาจากหลุ่ม ส่วนอีกหนึ่งสิ่งนั้นน่าจะมาจากความ “ ไม่รู้” ที่เป็นบ่อเกิดความกลัวคือความกลัว

ปราบแวมไพร์สยอง-เพราะความหวาดกลัว

ช่วงยุคกลางของทางฝั่งยุโรปนั้นผู้คนมีความเชื่อเรื่องที่ว่าคนตายสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาทำร้ายคนเป็นได้ ซึ่งความกลัวที่ส่านั้นส่วนใหญ่มาจากความไม่รู้จากสองสิ่งที่พวกเขานั้นไม่ทราบ เรื่องแรกคือการย่อยสลายศพเรื่องที่สองคือโรคระบาด แน่นอนว่าคนในสมับนั้นไม่ทราบกระบวนการการย่อยสลายของสภาพร่างกายของศพ เช่น เนื้อหนังมังสานั้นมันจะหดและหายแต่เล็บและกระดูนี่นอาจจะยาวขึ้น อีกทั้งเลือดหนองในตัวที่มีมันก็จะไหลออกมาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่ามันคือเลือดของคนเป็นทั้งๆที่มันคือของศพที่เน่าตายไปแล้ว และกลไกที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ผู้คนในอดีตไม่เข้าใจและคิดไปต่างๆนาๆว่า ศพที่ตายไปแล้วไม่ได้ตายจริง และความกลัวที่มีก็เข้าครอบงำคิดไปว่าศพจะฟื้นคืนชีพกลับมาทำร้ายคน ดังนั้นคนยุโรปในยุคกลางจึงเปลี่ยนความหวาดกลัวที่พวกเขานั้นมีให้กลับกลายมาเป็นกลวิธีสารพัดวิธีไล่ผีเพื่อเพื่อตรึงผีกับเข้าไปอยู่ในหลุมอย่างที่เห็นกับศพในโปแลนด์

ปราบแวมไพร์โคตรโหด

หลายพื้นที่ในยุโรป เช่น เยอรมันตอนเหนือนั้นก็ได้มีความเชื่อเรื่องผีดิบที่นำมาเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องโรคระบาด และตั้งชื่อให้มันว่า Nachzehrer ความเชื่อเรื่องนี้นั้นคือว่ากันว่าผีที่อยู่ในหลุมนั้นไท้ได้ขึ้นมาก่อกวนผู้คน แต่พวกมันนั้นจะกัดกินผ้าขาวห่อศพทาขาดไปเพราะมันเน่าไปกับเนื้อศพแทน ซึ่งในตอนนั้นพวกเขานั้นมองว่านี่เป็นวิธีที่ผีรีดไถชีวิตของญาติหรือคนใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าสมัยนั้นคือสมัยที่ผู้คนไม่ได้มีความรู้ จึงพากันมองว่า  Nachzerer  คือผีที่นำพาทุกคนให้ตายตามไปในช่วงที่มีโรคระบาด

ปราบแวมไพร์สยอง-Nachzerer

ในปี 1679 นักเทววิทยาชาวโปรเตสแตนต์ได้บันทึกข้อความบางอย่างเอาไว้ “ว่าด้วยผีดิบเคี้ยวชีวิต” และร่ายวิธีปราบ Nachzerer ว่าให้ทำด้วยการยัดของใส่ปากศพของที่ยัดเข้าไปนั้นก็จะเป็น ดิน หิน กองเหรียญ เพราะเชื่อกันว่าถ้าผีเคี้ยวอะไรไม่ได้ พวกมันก็จะอดตายอยู่ในหลุมไปเอง อีกทั้งพวกมันก็จะไม่สามารถไปสาปใครให้ตายตามไปอีก คล้ายๆกันกับที่อิตาลีที่พวกเขานั้นเรียกผีดิบพวกนี้ว่า “Strega” และมันก็ได้มีหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับความกลัวนี้เกิดขึ้นมา ที่สามารถเห็นได้จากการนำเอาอิฐเข้าไปยัดปากศพอย่างน่ากลัว

เลิกกลัวแวมไพร์

เลิกกลัวแวมไพร์

ความเชื่อและความกลัวเรื่องผีดิบยังคงอยู่มาจนถึงศตวรรษที่ 17 และ 18 จนกระทั้งเดินทางมาถึงวันสิ้นสุดที่ Benedict XIV ได้ออกมาประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่า “แวมไพร์คือเรื่องจิตนาการที่เกิดขึ้นจากมนุษย์เป็นผู้แต่งเติมขึ้นมา และเรื่องไสยศาสตร์มันคือเรื่องหลอกลวง” สุดท้ายเรื่องของแวมไพร์นั้นมันก็เดินทางมาจบลงเหมือนดังเรื่องความเชื่อลึกลับของภูตผีปีศาจชนิดอื่นๆ ที่เราเห็นได้จากตำนานและภาพยนตร์ และเมื่อเรื่องลึกลับต่างๆมันได้เจอกับความเจริญทางปัญญาและวิทยาศาสตร์ มันจึงเริ่มตายหายไปจากความเชื่อของผู้คนในยุคถัดมา เศษซากความเชื่อเรื่องแวมไพร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ที่พวกเราเห็นตอนนี้นั้นมันไม่ได้น่ากลัวหรือสยดสยองเหมือนเรื่องเล่าในอดีต เพราะในยุคนี้นั้นมันคือผีดิบที่รูปงามและน่ายกคอขาวให้กัดอย่างเต็มใจ